หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โกงอย่างบูรณาการจนสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จแบบไร้มาตรฐาน

โกงอย่างบูรณาการจนสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จแบบไร้มาตรฐาน

อ้างอิง http://www.ryt9.com/s/tpd/1827870



มาต่อภาคสองของการโกงที่คนเสื้อแดงยอมรับ จากการบิดเบือนข้อมูล สร้างชุดข้อมูลเท็จ หลอกลวงประชาชนมากว่า 10 ปี โดยมีสื่อขี้ข้าที่ยังเป็นอีแอบเพิ่งจะมาโผล่หางเข้าด้วยช่วยเหลือ "ทำลายคนดี เชิดชูคนชั่ว" กระทั่งบ้านเมืองเกิดความขัดแย้งรุนแรงเพราะประชาชนแยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นจริงอย่างครบถ้วน

ข้อความที่ยังคงใช้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญให้คนเสื้อแดงท่องจำไปเถียงกับคนอื่น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ คือ
โกง...จนใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด ไถ่ถอนคำว่าทาสให้คนไทย
โกง...จนเหลือเงินคงคลังเพียบ จน Hedge Fund ไม่กล้าลุยโกง...จนสร้างสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จโกง...จนคนรากหญ้าลืมตาอ้าปากได้โกง...จนมีเงินแค่ 30 บาท ก็รักษาทุกโรคได้โกง...จนพ่อค้าแม่ขายไม่ต้องจ่ายดอกร้อยละ 20 ให้แขกโกง...จนส่งเด็กเรียนดีไปเมืองนอกได้อำเภอละคนโกง...แก้ปัญหาสึนามิได้อย่างดีเยี่ยมโกง...จนเศรษฐกิจดี GDP พุ่ง GDH (ไม่รู้ไม่มีเกณฑ์วัด  ไปถามไอ้แป๊ะลิ้มมันบอกว่าต่ำ ถ้าถามผมบอกว่าสูง)
โกง...จนคนไทยมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น โกงยังไงเนี่ย!!! ช่วยกลับมาโกงอีกได้มั้ย
ตอนที่แล้วให้ข้อมูลไปแล้วสองเรื่องคือ "โกง...จนใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด ไถ่ถอนคำว่าทาสให้คนไทย" ว่า ความจริงคือ "โกงจนสร้างหนี้ IMF ลากไทยไปเป็นทาสทางเศรษฐกิจนานถึง 6 ปี" ส่วนที่บอกว่า "โกงจนเหลือเงินคงคลังเพียบ จน Hedge Fund ไม่กล้าลุย" นั้น ความจริงคือ  "โกงสร้างภาพจนเงินคงคลังถังแตก แถมเคยอยู่ในยุค  Hedge Fund ลุยจนเศรษฐกิจไทยแทบจะล่มสลาย" อีกด้วยคราวนี้มาดูเรื่องที่ระบอบทักษิณใช้หากินมานานกว่าสิบปีคือ เรื่องการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิสำเร็จ ทั้งที่ความจริงคนที่มีปัญญามิได้มองสนามบินดังกล่าวว่าคือความสำเร็จของชาติ แต่เป็นอีกหนึ่งอนุสรณ์เตือนคนไทยถึงการทุจริตมโหฬาร บนการสร้างภาพที่น่าสะอิดสะเอียน ส่วนอีกมือปล้นไปด้วยระหว่างก่อสร้างตลอดทาง!
คนเสื้อแดงถูกยัดเยียดให้เชื่อด้วยวาทกรรมว่า ทักษิณ  "โกงจนสร้างสนามบิน 7 ชั่วโคตรได้สำเร็จ" ความจริงคือใครที่มาบริหารประเทศต่อจากรัฐบาลชวน 1 ในขณะนั้นและมีเวลาบริหารประเทศชาติครบวาระ มีการเมืองที่เข้มแข็ง เต็มเปี่ยมไปด้วยเสถียรภาพทางด้านคณิตศาสตร์การเมืองในสภา ไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ย่อมทำได้สำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ชื่อ  "ทักษิณ ชินวัตร" ที่สำคัญคือหากไม่ใช่ทักษิณสร้าง รันเวย์คงไม่ร้าว หลังคาคงไม่รั่ว ฯลฯ และคงจะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิได้มาตรฐานแข็งแรง ไม่ต้องปะผุเวรันเวย์เหมือน ถนน คอ-นก-รีต อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกเรียกว่า สนามบิน 7 ชั่วโคตรนั้น ก็เป็นเพราะว่า แนวคิดที่จะสร้างสนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2503  ซึ่งในขณะนั้นเกือบจะเป็นรูปเป็นร่าง มีบริษัท นอร์ทรอป เสนอตัวมาก่อสร้างด้วยราคากว่า 3,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะถูกนิสิตนักศึกษาต่อต้านในยุคเผด็จการทหาร
จนผ่านมา 31 ปี สนามบินแห่งนี้เริ่มมีความหวังที่จะดำเนินการได้อีกครั้ง เมื่อ ครม.ในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน มีมติเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 อนุมัติให้ดำเนินการโครงการท่าอากาศยานสากลแห่งที่ 2 และให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการท่าอากาศยานกรุงเทพฯ แห่งที่  2 มี รมว.คมนาคมเป็นประธาน โดยคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการมีมติให้ ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) เป็นผู้จัดจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาวางแผนออกแบบ ตลอดจนช่วยบริหารการก่อสร้าง
เมื่อรัฐบาลชวน 1 เข้ามารับไม้ต่อจากรัฐบาลอานันท์ ก็เดินหน้าต่อโดยมีมติ ครม. 7 พ.ค.2534 อนุมัติงบประมาณจำนวน 120,000 ล้านบาท อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มก่อกำเนิดเป็นตัวเป็นตนอย่างเป็นทางการ และเริ่มโครงการด้วยการอพยพประชาชนออกจากเขตเวนคืนในปี 2536
รัฐบาลต่อมา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลบรรหาร หรือ พล.อ.ชวลิตนั้น มิได้มีบทบาทต่อการผลักดันให้โครงการนี้คืบหน้ามากนัก แต่เป็นช่วงที่มีกระแสรุมทึ้งกัดกินอิฐ หิน ดิน ทราย อันเป็นฐานรากของสนามบินอย่างอื้อฉาว ซึ่งในสมัยนั้นตัวเลขยังไม่มากเท่ากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐมนตรีที่กำกับดูแลถูกผู้รับเหมาเรียกว่า "มิสเตอร์ 8%" สูงสุดก็อยู่ที่ "มิสเตอร์ 20%" แต่ในปัจจุบันพัฒนาด้านการโกงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปไกลถึง "เจ๊ 50%"
ประเด็นที่คนไทยน่าจะยังจดจำได้คือ การทุจริตประมูลถมทรายที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลบรรหาร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็น รมว.คมนาคม และตัวละครสำคัญคือ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" เป็น รมช.คมนาคม กำกับดูแลโครงการสนามบินหนองงูเห่า ในขณะนั้นมีการร้องเรียนจากผู้รับเหมาหลายรายว่า มีการล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจบางราย และยังมีผู้รับเหมารายหนึ่งยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2539 ก่อนที่จะมีการประกวดราคาในวันที่ 14 พ.ย.2539 และผู้ที่คว้าพุงปลามันไปได้คือ บริษัทอิตาเลียนไทยด้วย
แม้ต่อมาเปลี่ยนรัฐบาลจากบรรหารมาเป็น พล.อ.ชวลิต  แต่คนที่ดูแลโครงการนี้ก็ยังเป็นคนเดิมคือ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" โดยในขณะนั้น สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็น รมว.คมนาคม มีการลงนามสัญญาก่อสร้างเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2539
แต่โครงการนี้กลับมาพบปมทุจริตอีกครั้ง หลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2540 ว่าการประมูลดังกล่าวกำหนดคุณสมบัติที่ไม่ชอบ เนื่องจากกีดกันผู้เข้าประกวดราคารายอื่น และเอื้อประโยชน์ต่อผู้มีสิทธิ์เสนอราคารายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ จึงให้ยกเลิกการประกวดราคา แต่ความเห็นของกฤษฎีกาไร้ความหมาย เพราะรัฐบาลในขณะนั้นยังคงเดินหน้าต่อ จนกระทั่งเศรษฐกิจแทบล่มสลายในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต เมื่อไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งที่ทำให้ไทยไปเป็นทาส IMF ย้ำอีกรอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯ ในขณะนั้น
เมื่อรัฐบาลชวน 2 เข้ามาบริหารปั๊มหัวใจประเทศให้ออกจากห้องไอซียู ประเทศไทยก็อยู่ในสภาพอ่อนแอทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่ก็ยังคงมีการสานต่อโครงการนี้โดยผู้รับผิดชอบคือ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คมนาคมในขณะนั้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาได้  เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาไปแล้ว โดยอิตาเลียนไทยขู่ฟ้องหากรัฐยกเลิกสัญญา เพราะมีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว 10% หรือประมาณ 1,165 ล้านบาท และค่าเสียหายเกี่ยวกับการหยุดถมทรายจำนวน 2,276 ล้านบาท จากนั้นกระทรวงคมนาคมทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีความเห็นให้บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.)  ต้องเสียค่าสินไหมจำนวน 913 ล้านบาท จากทั้งหมด 2,276  ล้านบาท
เรื่องนี้ถูกร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ  (ป.ป.ป.) หรือ ป.ป.ช.ในปัจจุบัน โดยใช้เวลาในการไต่สวนเพื่อชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องนานถึง 4 ปี ก่อนจะมีมติเอาผิดทางวินัยและอาญากับนายประมวล หุตะสิงห์ รองผู้จัดการใหญ่ บทม. ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา มีการปรับตัวเลขราคากลางตบตาบอร์ด เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทอิตาเลียนไทย จนชนะการประมูล ฐานเป็นเจ้าพนักงานไม่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ และประพฤติตนไม่อยู่ในความสุจริต รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และเอาผิดทางวินัยกับผู้บริหาร บทม.อีกสองรายคือ  ปรีติ เหตระกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บทม.และ เพิ่มศักดิ์  พัฒนพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายโครงการ โดยไม่ได้ดำเนินคดีอาญาเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ
ในขณะที่ฝ่ายการเมืองลอยตัวกินอิ่มหวานคอแร้ง แต่ไม่ต้องรับผิดชอบ
สิ่งที่คนไทยมักจะลืมไปแล้วคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนาม "สนามบินสุวรรณภูมิ" ให้แทน  "สนามบินหนองงูเห่า" ในยุคที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ"อันมีความหมายว่า "แผ่นดินทอง" ซึ่งกลายเป็น "ทำเลทอง" ของนักการเมืองชั่วเข้ามาแสวงหาประโยชน์อย่างโจ๋งครึ่ม
ช่วงที่ฉาวโฉ่ที่สุดในการทุจริตก็คือ ยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะโครงการ "ซีทีเอ็กซ์" ที่ทำให้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทยและรมว.คมนาคมในขณะนั้นถูกพิษสินบนข้ามชาติตีกระหน่ำจนน่วม ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะปรับ ครม.หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ว่าในปัจจุบัน ป.ป.ช.จะยกคำร้องคดีนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยข้อกังขา เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่า ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกาตัดสินลงโทษบริษัท อินวิชั่น เทคโนโลยี จำกัด  ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเครื่องซีทีเอ็กซ์ หรือเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดและสารเสพติดให้กับบริษัทในไทย เนื่องจากมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ พรรคการเมืองไทย วงเงิน 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
การโกงกินจากสนามบินสุวรรณภูมิที่คุยนักคุยหนาว่าสร้างเสร็จในยุคทักษิณนั้น ยังมีอีกจำนวนมากที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สั่งตรวจสอบ ประกอบด้วย
-โครงการถมทรายรันเวย์ตะวันออก มูลค่า 1,500 ล้านบาท-โครงการติดตั้งระบบสารสนเทศด่านตรวจคนเข้าเมือง  169 ล้านบาท
-โครงการวางท่อร้อยสายไฟอาคารผู้โดยสาร 2,000 ล้านบาท
-โครงการครัวการบิน (การบินไทย) ผลตอบแทน 116 ล้านบาท
-โครงการคาร์โก 400 ล้านบาท -โครงการบริการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง
-ตรวจสอบการให้คิงเพาเวอร์ได้รับการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในอาคารผู้โดยสาร
ชื่อของ "เจ๊ ด." โด่งดังในวงการหักค่าหัวคิวก็จากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินี่เอง โดยเฉพาะความอื้อฉาวเกี่ยวกับรถเข็นสัมภาระผู้โดยสารสูญหายถึง 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 คัน โดยผู้รับเหมาคือ บริษัท ไทย แอร์พอร์ตส กราวนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ TAGS ที่ได้ค่าจ้างดูแลรถเข็น 532 ล้านบาท แต่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย แถมยังได้งานสัมปทานงานในสนามบินสุวรรณภูมิเกือบสิบสัญญา  มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วย
โดยมีการพบพิรุธมากมายเกี่ยวกับโครงสร้างของบริษัทดังกล่าว ตั้งแต่มีการเซ็นเช็คโอนเงินในวันหยุดทำการ 31 ธ.ค.2548 ไปยังสิงคโปร์จำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาก็มีกลุ่มทุนจากสิงคโปร์คือบริษัท โฟร์บิเซอร์ ทีพีซี จำกัด เข้ามาถือหุ้น 48.5% ท่ามกลางข้อครหาว่า เจ๊ ด.มีนอมินีถือหุ้นแทนอยู่ในบริษัทนี้
การโกงกินอย่างมูมมาม ไร้สำนึกของรัฐบาลทักษิณที่กระทำต่อสนามบินสุวรรณภูมิ ถูกเปิดโปงว่าการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานทำให้รันเวย์ร้าว โดย เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หัวหน้าข่าวสายความมั่นคงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ในขณะนั้น จนทำให้ผู้มีอำนาจบีบต้นสังกัดให้ไล่ เสริมสุข ออกจากการเป็นนักข่าว เมื่อวันที่ 29 ส.ค.48 ซึ่งเจ้าตัวเคยเปิดเผยเอาไว้ว่า ได้รับการต่อรองจากต้นสังกัดให้ออกพร้อมเงินสดเกือบสามล้านบาท แต่ไม่รับ จนถูกไล่ออกตามแรงบีบของผู้มีอำนาจในขณะนั้น
ความอหังการในวิชาชีพสื่อสารมวลชนของ เสริมสุข  (ปัจจุบันเป็น บ.ก.ข่าวการเมืองและความมั่นคงไทยพีบีเอส) คือ การเดินหน้าต่อสู้ในทางกฎหมาย กระทั่งได้รับชัยชนะในที่สุด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ข่าวของเขาเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เพราะสภาพรันเวย์ร้าวประจานการทุจริตโดยที่มิอาจปกปิดได้อีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดสะท้อนตัวตนทักษิณในคราบนักธุรกิจการเมืองได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคือนักบริหารที่ดีและซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติหรือไม่ โดยสรุปได้ดังต่อไปนี้
ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของคนในครอบครัวปกป้องคนทุจริต หนีการตรวจสอบในสภาด้วยการปรับครม. ลุแก่อำนาจ แทรกแซงสื่อ ไม่ยอมรับการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย
คำโม้ที่อ้างว่า "ผมรวยไม่โกง" นั้น ไม่เป็นความจริง  เพราะตลอดการบริหารประเทศ แม้เขาจะได้รับแรงสนับสนุนจากคนจำนวนมาก เพราะนโยบายประชานิยมหว่านเงินแจก   แต่ขณะเดียวกันเขาก็ถูกปฏิเสธจากปัญญาชนที่มีความรู้และเข้าใจสันดานของคนโกงชาติด้วยเช่นเดียวกัน จนได้บทสรุปว่า "รวยแล้วไม่โกง" ไม่มี มีแต่ "รวยแล้วไม่พอ" มากกว่า ดังนั้น การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิจึงไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลทักษิณ แต่เป็นอนุสรณ์ให้คนไทยระลึกถึงการคอร์รัปชันอย่างมโหฬารมากกว่า นอกจากนี้ยังมีการสร้างภาพด้วยการปิดสนามบินดอนเมืองไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่จนคนไทยถูกตบตาเสียสนิท ปล่อยให้สนามบินดอนเมืองร้างทั้งที่ยังใช้ประโยชน์ได้ จนกระทั่งในยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดที่จะให้กลับมาใช้สนามบินดอนเมืองอีกครั้ง และเบรกไม่ให้ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม จากภูมิใจไทยที่เคยอยู่คอกเดียวกับไทยรักไทยมาก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2
กระทั่งในปัจจุบัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นผู้ยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องให้มีสนามบินเดียว คือสนามบินสุวรรณภูมินั้น ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าทำไม่ได้ จนกลับมาใช้สนามบินดอนเมืองอีกครั้งตามแนวทางที่ อภิสิทธิ์ วางไว้ แถมยังกล้าเอาหน้าว่าเป็นผลงานตัวเองด้วย
จากที่พี่ชายยืนยันว่าประเทศต้องมีสนามบินเดี่ยว  (Single Airport) โดยวาดฝันให้คนไทยเคลิ้มไปว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะเป็นศูนย์กลางการบิน (HUB) แห่งภูมิภาคเอเชีย  กลายเป็นว่า ยิ่งลักษณ์ สุดปลื้มยกดอนเมืองเป็นสนามบินพาณิชย์สากลแห่งที่ 2 คู่แฝดสุวรรณภูมิ
ประเทศไทยไม่เพียงถูกปล้นโดยคนชั่วที่ไร้สำนึกเท่านั้น  แต่ยังต้องสูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็นไปกับการสร้างภาพให้ทักษิณเป็นผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่โดยใช้เงินแผ่นดินไปจำนวนมาก เพราะการกลับมาใช้สนามบินดอนเมืองอีกครั้งก็ต้องมีการบูรณะ ซ่อมแซมใหม่ ซึ่งจริงๆ ไม่ควรต้องเกิดขึ้น หาก ทักษิณ บริหารเพื่อชาติไม่ใช่เพื่อชิน
ถ้าใครยังกล้าอ้างว่า ทักษิณ "โกง...จนสร้างสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จ" ก็ขอให้สวนกลับไปเลยว่า ทักษิณ "โกงอย่างบูรณาการจนสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จแบบไร้มาตรฐาน".

ADVERTISEMENT