หน้าเว็บ

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นิยาม "สลิ่ม" ตามพจนานุกรรมคนเสื้อแดง


คนเสื้อแดงให้คำกำกัดความของคำว่า "สลิ่ม" เอาไว้ดังนี้

"สลิ่ม" คือ ...
บุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงกลับไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ จึงมักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีความเชื่อที่ผิดอยู่เสมอ ทั้งยังปากว่าตาขยิบ มีอคติและความดัดจริตสูง เกลียดนักการเมือง และไม่ชอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน


"สลิ่ม" มาจาก ...
บุคคลที่อ้างว่าเกลียดเสื้อแดง แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นเหลืองพันธมิตร บุคคลเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันมักสวมเสื้อหลากสีสัน และดูเหมือนของหวานประเภทหนึ่ง

ผมได้เห็นนิยามอันนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลามานั่งวิเคราะห์ว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร ในตอนนั้นคิดว่าคงจะมีใครสักคน(ที่เก่งกว่าผม)จะมาช่วยคลี่คลายความหมายเหล่านี้ให้ผมและคนอื่นได้กระจ่างสักที แต่ก็รอ ๆ รอจนลืม แล้วมาเจอนิยามอันนี้อีกเมื่อวาน เลยตัดสินใจวิเคราะห์ความหมายมันเสียเอง(เพราะขี้เกียจรอแล้วและจะขอแสดงว่าตัวเองเป็นคนเก่งสักที) ผิด-ถูกประการใดติชมได้  โดยจะทำการวิเคราะห์ความหมายเหล่านั้นออกเป็น 2 ท่อน เพื่อความกระจ่างชัด ดังนี้

ในนิยามท่อน "สลิ่ม" คือ ...  ดูแล้วมันเหมือนจะคลุมเคลือ จึงขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้
1. บรรดา "สติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรม" ที่สลิ่มมีนั้น มันไม่เหมือนกับที่เขามี คือมันมีต่างกัน คนเสื้อแดงเขาเข้าใจว่าที่เขามีนั้นมันถูกต้องแล้ว  แต่พอเอาของตัวเองไปเทียบกับพวกสลิ่มแล้วมันงง มันเข้าใจยาก เลยตีความว่า บรรดาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นของสลิ่มนั้นมันไม่ถูก พวกเขามิอาจรับได้ ... 
ก็มันจะถูกได้ไงล่ะครับ คนเสื้อแดงยุ่งเหยิงกับการเล่นหวยเล่นการพนัน พอเอาของสลิ่มมาเทียบเขาจึงรับไม่ได้ไง ฮาขี้แตกขี้แตน

2. ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน อันนี้คนเสื้อแดงเขาหมายความว่า ถ้าไม่มีจุดยืนรักทักษิณอย่างชัดเจนเหมือนอย่างพวกเขาก็แปลว่า คนนั้นคือ "สลิ่ม"

3. สลิ่มชอบอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ชอบอ้างหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ อีนนี้ยิ่งฮาใหญ่ เพราะที่เห็นไม่ทราบใครล่ะ ที่ชอบไปนั่งไหว้ หมู หมา ปลา ไก่ คางคก เต่า กบ สารพัด เพื่อขอเลขเด็ด เคยคิดสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า ทักษิณเอาเงินจากไหนไปแจกให้กับตัวเอง ถ้าฉุกคิดแบบวิทยาศาตร์สักนิด ก็คงกระจ่างว่าทำไมบ้านเมืองถึงได้วุ่นวาย แต่นี่ไม่คิดเพราะคิดไม่เป็น ดีแต่ประดิษฐ์วาทะกรรมมาบิดเบือน ให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามเพื่อหลอกรากหญ้าฝ่ายตนเองให้โง่ต่อไป ...
แต่ก็อย่างว่า รากหญ้าเสื้อแดงเขาฉลาดแบบหลุดโลกอยู่แล้ว

4. ปากว่าตาขยิบ ถ้าจะพูดกันแบบตรง ๆ ก็คือ คนเจ้าเลห์นั่นเอง คนหาเช้ากินค่ำแต่มีความสุขและรู้จักพอ คนเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเจ้าเลห์กับคนอื่นหรอก  แต่ไอ้คนที่ชอบเล่นการพนันเป็นชีวิตจิตใจนี่สิ  โครตเจ้าเลห์

5. มีอคติและความดัดจริตสูง คนที่ชอบแต่งตัวแบบดูดีโกหรูแต่พอลับหลังก็เข้าบ่อน แบบเขาเรียกว่าอะไร คนฐานะยากจนแต่ขี้เกียจ ทำเป็นอย่างเดียวคือแบมือขอเงินจากนักการเมือง แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร พอคนอื่นทักท้วงว่าทำอย่างเท่ากับนั่นเป็นการขายเสียงก็โกรธ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร สามคำถามนี้ตอบแบบวิทยาศาสตร์หน่อยได้ไหมจ๊ะพ่อคุณแม่คุณเสื้อแดงทั้งหลาย

6. เกลียดนักการเมืองและไม่ชอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน อันนี้น่าถูกสักข้อ เพราะนักการเมืองในเครือข่ายทักษิณชอบยักยอกเงินภาษีแล้วเอาไปจ่ายให้กับรากหญ้าฐานคะแนเสียงตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่ภาษีเรียกเก็บจากคนทุกคนทุกฝ่าย แบบนี้จะไม่ให้เกลียดนักการเมืองระบบตัวแทนที่สังกัดพรรคของทักษิณมันก็บ้าแล้ว ลองถามตัวเองซิว่า ถ้าตัวเองโดนเอาเปรียบนั้นแล้วตัวเองจะยอมไหม ขอช่วยตอบแบบวิทยาศาสตร์ด้วยนะ

ส่วนในท่อนที่ "สลิ่ม" มาจาก ... ท่อนนี้ถูกทั้งหมดและจะไม่ขอกล่าวถึง ยกผลประโยชน์ให้จำเลย

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ภูมิหลังแกนนำคนเสื้อแดง



พรรคการเมืองในสังกัด ทักษิณ กี่พรรคต่อกี่พรรคแล้วที่ต้องการจะยุบพรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์  แต่ยุบไม่ได้สักที แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า พรรคในสังกัดทักษิณ กลับถูกยุบเสียเองแบบยกเข่ง ไม่ว่าทักษิณจะสร้างมาสักกี่พรรคก็ถูกยุบเรียบ ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ก็คงจบแบบเดียวกับสองพรรคก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน (จากกรณีกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่าด้วยคุณสมบัติของนายจตุพร พรหมพันธ์ ซึ่งศาลได้วินิจฉัยให้นายจตุพรพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.แล้ว เหลือแต่พิสูจน์ให้ได้ว่ากรรมการบริหารพรรคจงใจใช้เอกสารแสดงคุณสมบัตินายจตุพรเป็นเอกสารเท็จ)

สำหรับคนดี ๆ เพียงแค่นี้ก็รู้์ได้แล้ว่า พรรคไหนคือ ขี้ พรรคไหนคือ ทอง ที่ควรอยู่คู่แผ่นดินไทย

แต่ก็ยังมีคนไทยไม่น้อยที่ยังหลงไหลพรรคที่ทักษิณสร้างขึ้น และเกลียดพรรคประชาธิปัตย์อย่างเข้ากระดูกดำ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เคยสงสัยบ้างไหมครับ? นี่คือสาเหตุความเป็นมาที่ทำให้ต้องเขียนถึงเรื่องนี้

ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้มันสืบเนื่องมาจากในอดีต พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างศัตรูเอาไว้มาก ศัตรูที่ว่าก็มาจากเนื้อในของประชาธิปัตย์เอง เนื่องจากว่าคนที่จะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ต้องเป็นคนดี ถ้าไม่ดีจริงก็อยู่ไม่ได้ ที่ผ่านมามีคนที่ไม่ดีจริงเดินออกจากประชาธิปัตย์ไปเยอะแยะ อย่างเช่น สมัคร เฉลิม จาตุรนต์ วีระ-มุสิก ยุทธ-ตู้เย็น จักรพันธ์-ยม สุรพงษ์-โต นพดล-ปัท ฯลฯ สุดท้ายคนเหล่านี้เป็นอย่างไรกันบ้างก็คงเห็นกันอยู่  สิ่งหนึ่ง คนเหล่านี้แค้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างยิ่งและ แค้นมาช้านาน และจะทำทุกอย่างเพื่อเอาคืนจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำกับตนเองเอาไว้  ไม่ว่าจะไปตั้งพรรคการเมืองเอง หรือไปสังกัดพรรคอื่นก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดสู้(ประชาธิปัตย์)ไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ คนเหล่านี้เป็นคนชั่ว(ในคราบคนดี)มาตั้งแต่แรกนั่นเอง

นอกจากศัตรูที่เกิดจากคนไม่ดีภายในพรรคแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังมีศัตรูอีกด้านหนึ่ง เป็นที่รู้ ๆ กันดีอยู่แล้วว่า คนภาคใต้อย่างไรก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นใครที่อยากเป็นผู้แทนก็ต้องเข้าสังพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นถึงจะได้เป็นผู้แทน ดังนั้นมีคนที่ผิดหวังที่เกิดจากกรณีนี้ไม่น้อย เช่น จตุพร ณัฐวุฒิ ก่อแก้ว เด็จพี่-พร้อมพัง คนเหล่าล้วนเกลียดพรรคประชาธิปัตย์เข้ากระดูกดำไม่แพ้กลุ่มแรก คนใต้ที่เป็นแบบนี้ยังมีอีกเยอะแยะ บางคนทำอะไรประชาธิปัตย์ไม่ได้ก็อยู่เฉย ๆ บางคนก็บิดเบือนความจริงให้ร้ายประชาธิปัตย์ บางคนก็ทำลายประชาธิปัตย์ ดังที่เห็นจากคนกลุ่มนี้เป็นแกนนำของคนเสื้อแดง เขาพยายามจะแสดงให้คนทั่วไปได้ทราบว่า กูมีดีพอ กูไม่ง้อประชาธิปัตย์ และกูจะทำลายประชาธิปัตย์ทันทีที่มีโอกาส 

จากภาพรวมทั้งหมดที่กล่าวมา ซึ่งชัดเจนแล้วว่า กำพืดหรือภูมิหลังแกนนำคนเสื้อแดง ส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่อกหักจากประชาธิปัตย์ และต้องการแก้แค้นประชาธิปัตย์เป็นเดิมทุน ขึ้นชื่อว่าไฟแค้น เมื่อมันถูกจุดติดขึ้นในใจใครก็แล้วแต่ มันมีร้อนร้นจนหมอดไหม้กลายเป็นจุล คนพวกนี้ก็เช่นกัน เขาไม่เคยสนใจวิธีการเลยว่า การกระทำใด ๆ เพื่อต้องการแก้แค้นนั้นมันผิดหรือถูกกฎหมาย ขอเพียงให้สมใจปราถนาเป็นพอ เอกลักษ์ความสามารถประจำตัวสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหล่านี้มีก็คือ การพูดจาโป้ปดมดเท็จเป็นนิจศิล เพื่อมอมเมาให้คนเสื้อแดงระดับรากหญ้าเชื่อในสิ่งที่พูด(เท็จ) ในขณะคนเสื้อแดงระดับรากหญ้าก็ใช่ย่อย กล่าวคือ จนแต่อยากรวยด้วยวิธีโง่ ๆ ต่างก็เชื่อข้อมูลเหล่านั้นโดยหาได้พิจารณาแยกแยะไม่ เพราะพวกเขาเป็นคน ขี้เกียจในทุกเรื่อง คือ ขี้เกียจทำงาน ขี้เกียจคิด ก็คือโง่นั่นเอง (15 ล้านเสียงเป็นแบบนี้แทบทั้งสิ้น) คนโง่เมื่อมาอยู่คู่กับคนโกง(แกนนำ) มันมีพลานุภาพในการทำลายล้างที่สูงมาก ตามที่ได้เคยปรากฎให้เห็นกันมาแล้วเมื่อช่วงปี 52-53 ที่ผ่านมา มวลชนรากหญ้าถูกหลอกให้มาบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ก็ติดคุก ส่วนแกนนำแม้จะตกเป็นจำเลยในคดีต่าง ๆ มากกมาย แต่ก็คุ้มค่าเพราะได้รับการปูนบำเหน็จจากเจ้าของพรรคเพื่อไทยด้วยการให้เป็น ส.ส. ในสังกัดสมใจอยาก จตุพรและณัฐวุฒิ สองคนนี้ถ้าลงสมัคร ส.ส.แบบเขตที่นครศรีธรรมราช คงจะได้แค่คะแนนเดียว(คะแนนเสียงของตัวเอง) ซึ่งมันทั้งคู่ก็รู้ตัวเรื่องนี้ดี มันเลยไปลงบัญชีรายชื่อของพรรคในสังกัดทักษิณแทน เพื่อให้ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนใต้ที่ได้เป็น ส.ส. (แบบไหนก็ได้)โดยไม่ต้องพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือว่าเป็นความสะใจอย่างสูงสุดที่ได้แก้แค้นพรรคประชาธิปัตย์ ตามเจตนารมณ์ที่อยู่ในกมลสันดานมาแต่ก่อน ซึ่งก็สมใจหมาย มิหนำซ้ำณัฐวุฒิยังได้ปูนบำเหน็จอีกขั้นด้วยตำแหน่ง รตช.เกษตรฯ อีกตำแหน่ง แหม น่ายินดีกับแกนนำคนนี้เสียจริง ๆ  ซึ่งในเรื่องนี้จริง ๆ แล้วไม่ได้ไกลกว่าที่ใครต่อใครหลายคนคาดการณ์เอาไว้เลย

นี่ล่ะครับคือกำพืดที่แท้จริงของพวกแกนนำคนเสื้อแดง

และนี่คือตัวอย่าง พวกอกหักจากประชาธิปัตย์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301372216&grpid=01&catid=no

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"เรียนสูง" มาแค่ไหน ไม่ใช่ประเด็น "ทำงาน" ให้เป็น คือประเด็นที่สำคัญ

พูดกันเรื่องนี้  มันต้องว่ากันทีละประเด็น จะได้ไม่สับสน แล้วเอาตัวเองมาเทียบจับกับ 4 กรณีที่ได้แยกแยะเอาไว้ว่า เราเองเป็นไปตามกรณีไหน?

ประเด็นแรก ของเรื่องนี้คือ เรื่องการเรียน ถ้าจะว่าไป "การศึกษาเล่าเรียนมันเป็นเรื่องของตนคนนั้นเพียงคนเดียว" เรียนดี เรียนแย่ ก็อยู่คนคนนั้นทำเองทั้งสิ้น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องช่วยอะไรไม่ได้ สถาบันที่เรียนที่จบมาก็ไม่เกี่ยว อยู่ที่ฝีมือตัวเองล้วน ๆ ถ้าผลการเรียนออกมาดีก็มีแนวโน้มว่า "น่าจะทำงานเก่งนนะ" เพราะกว่าจะจบมันต้องฝึกต้องฝนกันมากมายหลายกระบวนท่า แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนในช่วงระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นั้น มันฝึกฝนอยู่ในกรอบของสมมติฐานที่ว่า "ฝึกเพื่อเรียนรู้ ถ้าถูกก็แล้วไป แต่ถ้าผิดก็กลับไปแก้ไขใหม่จนกว่าจะดีขึ้น" ซึ่งเป็นหลักง่าย ๆ ของชีวิตนักศึกษา เชื่อว่าเคยผ่านกันมาทุกคน สังเกตุดี ๆ จะเห็นว่าในช่วงที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้นหากเรา คิดผิด ทำผิด มันจะถูฏลงโทษเพียงอย่างเดียวคือ เกรดหรือผลการเรียนจะออกมาไม่ดีหรือไม่ก็ติดเอ็ฟ(F) ต้องไปลงทะเบียนเรียนใหม่กับเด็กรุ่นน้อง บางคนก็ไม่ถือเพราะหน้าด้าน บางคนเครียดมากเพราะอายกับการที่จะต้องไปเรียนกับรุ่นน้อง ชีวิตวัยเรียนมีเรื่องให้เครียดปวดสมองไม่กี่เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้เสียเป็นส่วนใหญ่ บางคนถึงกับไม่อยากจบออกมา เพราะยังอยากสนุกกับชีวิตในช่วงวัยนี้ต่อไปอีก แต่เมื่อถึงเวลาจบก็ต้องจบ อยู่ที่ว่าตอนจบของช่วงวัย จะจบออกมาดี หรือ จบออกมาแบบไม่ได้เรื่อง ซึ่งจะถูกนำไปพิสูจน์ต่อไป ในช่วงชีวิตวัยทำงาน

ประเด็นที่สอง คือ เรื่องการทำงาน "การทำงานคือการพิสูจน์คุณภาพของคนว่าคนคนนั้นมีคุณภาพแค่ไหน" คุณภาพมากแค่ไหนวัดกันอย่างไร ง่าย ๆ เลย  ก็แค่วัดว่า ผลของงานที่ทำสัมฤทธิ์ออกมา มันเกิดคุณค่าหรือประโยชน์แก่คนอื่นมากแค่ไหน นั่นแหละคือคุณภาพ จะเห็นว่าตอนเรียนเราไม่วัดผลการเรียนแบบนี้เลย การเรียนเป็นอะไรที่ง่ายสอบไม่ผ่านก็ลงเรียนใหม่ แต่ถ้าทำงานแล้วทำไม่ผ่าน เกิดอะไรขึ้นบ้าง เสียเวลา เสียเงิน เสียใจ ถูกเจ้านายด่า เพื่อนร่วมงานขาดความเชื่อถือ ทั้งหมดนี้คือโลกของความจริงโลกที่แสนเจ็บปวดเมื่อทำผิดพลาดขึ้นมา ในขณะเดียวกันมันก็โลกที่หอมหวานเมื่อเราทำงานสำเร็จขึ้นมา เกิดคุณค่าต่อผู้อื่นในวงกว้าง สังเกตุดี ๆ ชีวิตในช่วงกำลังเรียนคือช่วง "อยู่ในโลกของจินตนาการ" แต่ชีวิตในช่วงทำงานมันคือ "โลกแห่งความจริง" คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหลายเขาเชื่อว่า ถึงแม้เรียนจบจากช่วงชีวิตวัยเรียนแล้วเขาหาได้คิดว่าเขาต้องหยุดเรียนรู้อยู่แค่นั้นไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอจบการเรียนในช่วงวัยเรียน จะต้องศึกษาแบบจริง ๆ จัง ๆ ต่อในระดับที่สูงขึ้นไปอีกคือระดับมหาวิทยาลัยชีวิต ซึ่งจะต้องเรียนรู้ทุกลมหายใจ เพราะมันจะมีผล ได้-เสีย ในทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรก็ตาม และจะต้องศึกษาไปจนวันตายในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ ส่วนคนที่ชีวิตล้มเหลวก็มีสาเหตุเพียงสาเหตุเดียวก็คือไม่เรียนรู้ที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง มันก็ผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนหาคุณภาพไม่ได้และสิ้นความน่าเชื่อถือในที่สุด และสุดท้ายก็คือล้มเหลว ถ้าจะจัดความสัมพันธ์ระหว่าการเรียนกับการทำงาน  น่าจะแบ่งย่อยออกมาได้ 4 กรณี ดังนี้
 
  1. คนเรียนเก่ง เมื่อจบออกมาทำงานก็ทำงานได้ดี
  2. คนเรียนไม่เก่ง เมื่อจบออกมาทำงานปรากฎว่า ทำงานได้ดี
  3. คนเรียนเก่ง เมื่อจบออกมาทำงาน แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง
  4. คนเรียนไม่เก่ง ยิ่งมาทำงานแล้วก็ทำไม่ได้เรื่อง

หากพิจารณากันดี ๆ กรณีที่ 1 กับ 4 แทบไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ตามตรรกะที่แสนจะธรรมดา นั่นก็คือ เมื่อเป็นมาอย่างนั้นมันก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ แต่ที่น่าสังเกตุนิดหนึ่งก็คือ จำนวนคนในมหาวิทยาลัยชีวิตรวมกันทั้งสองกรณีนี้มีแค่ไม่ถึงร้อยละ 10 เพราะหาคนเรียนเก่งขั้นอัจฉริยะ หรือหาคนเรียนโง่แบบคนปัญญาอ่อน มันหายากเต็มที  ในขณะกรณีที่ 2 กับ 3 มันแย้ง ๆ กันอยู่ แต่ก็พออธิบายได้ไม่ยาก เนื่องจากว่า  ใครจะประสบความสำเร็จมันมีเคล็ดอยู่เพียงเคล็ดเดียว นั่นก็คือ ตอนที่ชีวิตเปลี่ยนผ่านจากชีวิตวัยเรียนไปสู่วัยทำงาน นั่นแหละ หากคนประมาทมันก็คิดว่าถ้ากูเรียนจบมาดี กูไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ก็ได้ เพราะใคร ๆ ต่างก็ต้องการกูไปร่วมงานกันทั้งนั้น แต่พอไปทำงานจริง คนพวกนี้มักจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะมีความหลงตัวเองจนเกิดเป็นความหยิ่งยะโสและทนงตัวเป็นอย่างสูง เหมือนกับสร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองกับคนอื่นเอาไว้  ทำให้คนพวกนี้กลายเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนร่วมงาน และเข้ากับใครไม่ได้  คนแบบนี้โอกาสที่จะประสบความเร็จมีน้อยมาก เพราะได้พิสูจน์คุณภาพของตัวเองแล้วว่า "ด้อยคุณภาพ" กลับตรงกันข้าม คนที่เรียจบออกมาไม่ค่อยดี คนพวกนี้จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่จะไม่ประมาท และไม่มองข้ามความสำคัญที่ว่า "เรียนจบก็แค่จุดเริ่มต้นของชีวิตในมหาวิทยาลัยชีวิต" ทำให้คนพวกนี้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และถ้าว่ากันไปแล้ว มีคนที่เป็นแบบกรณีนี้(กรณี 2)มากว่ากรณีอื่น ๆ ทั้งหมดในมหาวิทยาลัยชีวิต