หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"เรียนสูง" มาแค่ไหน ไม่ใช่ประเด็น "ทำงาน" ให้เป็น คือประเด็นที่สำคัญ

พูดกันเรื่องนี้  มันต้องว่ากันทีละประเด็น จะได้ไม่สับสน แล้วเอาตัวเองมาเทียบจับกับ 4 กรณีที่ได้แยกแยะเอาไว้ว่า เราเองเป็นไปตามกรณีไหน?

ประเด็นแรก ของเรื่องนี้คือ เรื่องการเรียน ถ้าจะว่าไป "การศึกษาเล่าเรียนมันเป็นเรื่องของตนคนนั้นเพียงคนเดียว" เรียนดี เรียนแย่ ก็อยู่คนคนนั้นทำเองทั้งสิ้น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องช่วยอะไรไม่ได้ สถาบันที่เรียนที่จบมาก็ไม่เกี่ยว อยู่ที่ฝีมือตัวเองล้วน ๆ ถ้าผลการเรียนออกมาดีก็มีแนวโน้มว่า "น่าจะทำงานเก่งนนะ" เพราะกว่าจะจบมันต้องฝึกต้องฝนกันมากมายหลายกระบวนท่า แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนในช่วงระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นั้น มันฝึกฝนอยู่ในกรอบของสมมติฐานที่ว่า "ฝึกเพื่อเรียนรู้ ถ้าถูกก็แล้วไป แต่ถ้าผิดก็กลับไปแก้ไขใหม่จนกว่าจะดีขึ้น" ซึ่งเป็นหลักง่าย ๆ ของชีวิตนักศึกษา เชื่อว่าเคยผ่านกันมาทุกคน สังเกตุดี ๆ จะเห็นว่าในช่วงที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้นหากเรา คิดผิด ทำผิด มันจะถูฏลงโทษเพียงอย่างเดียวคือ เกรดหรือผลการเรียนจะออกมาไม่ดีหรือไม่ก็ติดเอ็ฟ(F) ต้องไปลงทะเบียนเรียนใหม่กับเด็กรุ่นน้อง บางคนก็ไม่ถือเพราะหน้าด้าน บางคนเครียดมากเพราะอายกับการที่จะต้องไปเรียนกับรุ่นน้อง ชีวิตวัยเรียนมีเรื่องให้เครียดปวดสมองไม่กี่เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้เสียเป็นส่วนใหญ่ บางคนถึงกับไม่อยากจบออกมา เพราะยังอยากสนุกกับชีวิตในช่วงวัยนี้ต่อไปอีก แต่เมื่อถึงเวลาจบก็ต้องจบ อยู่ที่ว่าตอนจบของช่วงวัย จะจบออกมาดี หรือ จบออกมาแบบไม่ได้เรื่อง ซึ่งจะถูกนำไปพิสูจน์ต่อไป ในช่วงชีวิตวัยทำงาน

ประเด็นที่สอง คือ เรื่องการทำงาน "การทำงานคือการพิสูจน์คุณภาพของคนว่าคนคนนั้นมีคุณภาพแค่ไหน" คุณภาพมากแค่ไหนวัดกันอย่างไร ง่าย ๆ เลย  ก็แค่วัดว่า ผลของงานที่ทำสัมฤทธิ์ออกมา มันเกิดคุณค่าหรือประโยชน์แก่คนอื่นมากแค่ไหน นั่นแหละคือคุณภาพ จะเห็นว่าตอนเรียนเราไม่วัดผลการเรียนแบบนี้เลย การเรียนเป็นอะไรที่ง่ายสอบไม่ผ่านก็ลงเรียนใหม่ แต่ถ้าทำงานแล้วทำไม่ผ่าน เกิดอะไรขึ้นบ้าง เสียเวลา เสียเงิน เสียใจ ถูกเจ้านายด่า เพื่อนร่วมงานขาดความเชื่อถือ ทั้งหมดนี้คือโลกของความจริงโลกที่แสนเจ็บปวดเมื่อทำผิดพลาดขึ้นมา ในขณะเดียวกันมันก็โลกที่หอมหวานเมื่อเราทำงานสำเร็จขึ้นมา เกิดคุณค่าต่อผู้อื่นในวงกว้าง สังเกตุดี ๆ ชีวิตในช่วงกำลังเรียนคือช่วง "อยู่ในโลกของจินตนาการ" แต่ชีวิตในช่วงทำงานมันคือ "โลกแห่งความจริง" คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหลายเขาเชื่อว่า ถึงแม้เรียนจบจากช่วงชีวิตวัยเรียนแล้วเขาหาได้คิดว่าเขาต้องหยุดเรียนรู้อยู่แค่นั้นไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอจบการเรียนในช่วงวัยเรียน จะต้องศึกษาแบบจริง ๆ จัง ๆ ต่อในระดับที่สูงขึ้นไปอีกคือระดับมหาวิทยาลัยชีวิต ซึ่งจะต้องเรียนรู้ทุกลมหายใจ เพราะมันจะมีผล ได้-เสีย ในทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรก็ตาม และจะต้องศึกษาไปจนวันตายในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ ส่วนคนที่ชีวิตล้มเหลวก็มีสาเหตุเพียงสาเหตุเดียวก็คือไม่เรียนรู้ที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง มันก็ผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนหาคุณภาพไม่ได้และสิ้นความน่าเชื่อถือในที่สุด และสุดท้ายก็คือล้มเหลว ถ้าจะจัดความสัมพันธ์ระหว่าการเรียนกับการทำงาน  น่าจะแบ่งย่อยออกมาได้ 4 กรณี ดังนี้
 
  1. คนเรียนเก่ง เมื่อจบออกมาทำงานก็ทำงานได้ดี
  2. คนเรียนไม่เก่ง เมื่อจบออกมาทำงานปรากฎว่า ทำงานได้ดี
  3. คนเรียนเก่ง เมื่อจบออกมาทำงาน แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง
  4. คนเรียนไม่เก่ง ยิ่งมาทำงานแล้วก็ทำไม่ได้เรื่อง

หากพิจารณากันดี ๆ กรณีที่ 1 กับ 4 แทบไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ตามตรรกะที่แสนจะธรรมดา นั่นก็คือ เมื่อเป็นมาอย่างนั้นมันก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ แต่ที่น่าสังเกตุนิดหนึ่งก็คือ จำนวนคนในมหาวิทยาลัยชีวิตรวมกันทั้งสองกรณีนี้มีแค่ไม่ถึงร้อยละ 10 เพราะหาคนเรียนเก่งขั้นอัจฉริยะ หรือหาคนเรียนโง่แบบคนปัญญาอ่อน มันหายากเต็มที  ในขณะกรณีที่ 2 กับ 3 มันแย้ง ๆ กันอยู่ แต่ก็พออธิบายได้ไม่ยาก เนื่องจากว่า  ใครจะประสบความสำเร็จมันมีเคล็ดอยู่เพียงเคล็ดเดียว นั่นก็คือ ตอนที่ชีวิตเปลี่ยนผ่านจากชีวิตวัยเรียนไปสู่วัยทำงาน นั่นแหละ หากคนประมาทมันก็คิดว่าถ้ากูเรียนจบมาดี กูไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ก็ได้ เพราะใคร ๆ ต่างก็ต้องการกูไปร่วมงานกันทั้งนั้น แต่พอไปทำงานจริง คนพวกนี้มักจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะมีความหลงตัวเองจนเกิดเป็นความหยิ่งยะโสและทนงตัวเป็นอย่างสูง เหมือนกับสร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองกับคนอื่นเอาไว้  ทำให้คนพวกนี้กลายเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนร่วมงาน และเข้ากับใครไม่ได้  คนแบบนี้โอกาสที่จะประสบความเร็จมีน้อยมาก เพราะได้พิสูจน์คุณภาพของตัวเองแล้วว่า "ด้อยคุณภาพ" กลับตรงกันข้าม คนที่เรียจบออกมาไม่ค่อยดี คนพวกนี้จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่จะไม่ประมาท และไม่มองข้ามความสำคัญที่ว่า "เรียนจบก็แค่จุดเริ่มต้นของชีวิตในมหาวิทยาลัยชีวิต" ทำให้คนพวกนี้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และถ้าว่ากันไปแล้ว มีคนที่เป็นแบบกรณีนี้(กรณี 2)มากว่ากรณีอื่น ๆ ทั้งหมดในมหาวิทยาลัยชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น