หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลายคนคิดว่าปัญหาของสังคมไทยทุกวันนี้มาจากนักการเมือง แต่ผมบอกว่ามันไม่ใช่

ที่บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง กล่าวคือ มันไม่ได้ถูกตามนั้นทั้งหมด ทำไมล่ะ? ทำไมผมจึงกล้าท้าทายแนวคิดของคนอื่นขนาดนั้น มาดูครับ ผมจะจำแนกให้ดู

ประการแรก นับจำนวนประชากรได้เลย ประชาการที่มีอาชีพเป็นนักการเมืองทุกระดับของประเทศไทยผมคิดว่าอย่างมากสุดแค่ 1% ของจำนวนประขากรทั้งหมด แล้วทำไม 1% จะมีอิทธิพลเหนือกว่า 99% ที่เหลือได้อย่างไร เพียงแต่มันมีปัญหาที่ตรงที่ 1% มันน้อย มันเลยรวมตัวกันง่าย แต่ 99% มันกระจัดกระจาย ยากแก่การรวมตัว ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นมา และไอ้พวก 1% ก็นำมาใช้หาผลประโยชน์กันเช่น โยนเศษเงินที่ได้จากการโกงมาเพียงเล็ก ๆ น้อย ให้บางกลุ่มใน 99% เพื่อปิดปากหรือเพื่อสร้างบุญคุณแก่กัน แค่นี้ก็จบแล้ว หากว่าเมื่อไรที่ 99% รวมตัวกันได้ ทั้งทาง ความเชื่อ ศัทธา วัฒนธรรม ความคิด หรืออะไรสักอย่าง ผมเชื่อแน่ 1% คงไม่กล้าซ่าส์แน่นอน แต่ว่าตอนนี้ไม่มีประเด็นใดเลยที่จะทำให้ 99% เกิดการรวมตัวกันได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะบางส่วนของ 99% ไปติดกับดักเข้าเลยไปไม่เป็น และนับวันจะลุกลามไปใหญ่โต ในประการนี้ผมให้น้ำหนักความผิดเป็นว่า ผิดเท่า ๆ กันคนละ 50% แฟร์ ๆ กัน หรือจะเรียกว่า สมยอมกัน ก็ได้

ประการที่สอง แสงเทียนที่จะใช้สร้างปัญญาที่แท้จริงถูกบิดเบือนและถูกทำลาย ผมหมายถึงพระพุทธศาสนา ทุกวันนี้คนไทยไปเล่นพระเครื่อง เครื่องรางของขลังเกินครึ่งประเทศ ประเด็นนี้ผมโทษนักเมืองไม่ได้เลยเป็นความผิดของสังคมไทยแบบ 100% เต็ม ๆ ครับ เพราะเรางมงายไม่มีเหตุผลกันเอง คนที่กำลังเล่นพระเครื่องออาจจะเถียงผมในประเด็นนี้ว่า นี่คือการสืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ผมจะบอกว่า องค์พระสัมมาพระพุทธเจ้าไม่เคยรับสั่งเรื่องเหล่านี้เลย เพียงแต่คนรุ่นหลังจำลองพระพุทธเจ้าขึ้นมาไว้เคารพก็เพราะว่า พระองค์คือผู้นำพระธรรมมาเผยแพร่สร้างสติปัญญาให้คนรุ่นหลลังได้เข้าใจ จนไม่รู้ว่าพระคุณของพระองค์จะมากมายสักขนาดไหน ยากที่จะกล่าวได้ จึงได้ทำพระพุทธรูปตั้งเอาไว้เพื่อเคารพบูชา และเพื่อเป็นกุศโลบายว่า นี่คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ต่างหากครับ มองไปที่พระพักต์ของพระองค์สิครับ แล้วจะเห็นว่าพระองค์ ไม่เคยเศร้า ไม่เคยม่นหมอง เพราะพระองค์รู้จักกิเลสทุกชนิด และพระองค์ทรงตื่นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายเหล่านั้น เลยทำให้พระองค์ทรงอิ่มเอิบและเบิกบาน นี่คือสิ่งที่หลายคนไม่เคยทราบว่าทำไมพระองค์จึงอิ่มเอิบและเบิกบานมาก่อน ทำให้เราเป็นไปตามอำนาจเงินตราของโลกตะวันตกที่เห็นเรื่อง กำไร เป็นที่ตั้ง หากคนไทยไปเล่นพระเครื่องหมดทั้งประเทศ บอกได้คำเดียวว่า พระพุทธศาสนาสูญพันธ์ในประเทศไทยแน่นอน ผมพูดแบบนี้หลายคนคิดมั่นไส้ เอาเถอะครับ จะ ด่า หรือ ตำหนิ หรือ จะติติง ผมได้เลย ครับ เพราะผมเองยังไม่ได้เขียนอีกหลายอย่างเพราะไม่อยากให้อ่านบทความนี้ด้วยเนื้อหาที่มากจนเกินไป เพราะมันจะเสียเวลาสำหรับคนที่เข้าใจหลักพระพุทธศาสนาดีอยู่แล้วเป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ผมย้ำอีกทีว่า สังคมไทย 99% + 1% ผิดเต็ม ๆ ครับ (เพราะนักการเมืองยังเล่นพระเครื่องเช่นกัน)

ประการที่สาม นิสัยใจคอของคนไทยเป็นอุปสรรค ต่อการรวมตัวเพื่อเรียกร้องและคัดค้านนักการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ลองอ่านจากบทความเรื่อง วิเคราะห์สังคมไทย "ทำไมเราจึงมีนายกฯ จากตระกูลชินวัตรมากถึง 3 คน?"  ก็จะเข้าใจว่าคนไทย ขี้เกียจ(คิด) มักง่าย และ โง่ นี่คือปัญหาสำคัญของสังคมไทย ที่ยากจะแก้ไข และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมั่นใจว่า ปัญหาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้มาจากนักการเมืองอย่างแน่นอน ประการนี้คงต้องโทษ 99% แบบเต็มร้อยครับ

ประการที่สี่ คนไทยไม่ชอบความพ่ายแพ้ และจะปฏิเสธหรือหลบหนีความแพ้  คนเราแพ้อะไรก็ช่างเถอะครับ ขออย่างเดียวว่าอย่าแพ้ตัวเอง ลองสังเกตุบุคคลที่อยู่ในระดับคุณภาพ เช่นคุณเฉลียว(กระทิงแดง) คุณตัน (โออิชิ)  เป็นต้น คนเหล่านี้จะได้รับการพัฒนามาจากจุดที่ชีวิตได้พบกับความพ่ายแพ้มาก่อนทั้งสิ้น เพราะชีวิตไปพบกับความพ่ายแพ้ แต่ใจสู้ อบรมตัวเองให้คุ้นเคยกับความพ่ายแพ้ เนื่องจากในความพ่ายแพ้มันมีแง่คิดมากมายที่ทำให้คนคนนั้นนำเอาไปใช้เพื่อการพัฒนาตนเอง จนกล้าและแกร่ง อยากที่กลับพบความพ่ายแพ้แบเดิมได้อีก คนที่เจอแต่ความ่ายแพ้ในชีวิตซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ แสดงว่ายังไม่มีการพัฒนาจากการเรียนรู้ความพ่ายแพ้ มันก็เลยแพ้จนวันตาย  ในขณะเดียวกันมีความพ่ายแพ้อยู่ชนิดหนึ่งที่คนไทยกลับชอบ นั่นคือ ขี้เกียจ ทั้ง ๆ ที่ความขี้เกียจคือความพ่ายแพ้ต่อตัวเองนั่นเอง  และที่ทุกอย่างมันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราขี้เกียจ นี่แหละ และความขี้เกียจมันก็คือความพ่ายแพ้(ต่อตัวเอง)ที่เราดันไปยอมรับมัน แต่ความพ่ายแพ้อื่น ๆ กลับไม่ชอบและเดินหนี  (แปลกไหมล่ะครับ?)  เป็นเพราะอะไรศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ  ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคนไทยไม่มีศักดิ์ศรีเลย เพราะคนไทยยอมแพ้กับความขี้เกียจ ในประการนี้คงต้องโทษฝ่ายที่เป็น 99% แบบเต็มร้อยเช่นเดียวกันครับ

ประการที่ห้า กระบวนการหลังลงโทษคนทำผิด สังคมไทยเราปิด กล่าวคือปฏิเสธที่จะให้โอกาสกับคนเคยถูกลงโทษเช่นคนที่โดนจำคุก ตรงนี้สำคัญเช่นกันเพราะจากในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่เคยติดคุกมีจำนวนมากถูกคนที่ไม่เคยติดคุกปฎิเสธที่จะคบหา ให้การช่วยเหลือ ทำให้คนเหล่านี้เกิดสิ่งที่เรียกว่า น้อยเนื้อตำใจและพัฒนาไปเป็นความคับแค้นใจ ไม่อยากทำดี ทำไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่เมื่อคนเหล่านี้มาพบกันและรวมตัวกันได้จำนวนหนึ่ง ทำให้เกิดการเข้าอกเข้าใจและเห็นใจกันกันในหมู่ของคนเหล่านี้ และเริ่มส่งผลขึ้นมาทันที นั่นก็คือการต่อต้านระบบที่เคยทำให้ตัวเองกลายเป็นคนผิดขึ้นมา ตรงนี้ถ้าจะบอกว่าใครผิด ก็บอกตรง ๆ ว่า เรานี่แหละที่ไม่เคยคิดหามาตรการใด ๆ มารองรับปัญหาเหล่านี้ เพราะเรามองเรื่องทรัพย์สิน แต่ไม่ได้มองเรื่องคุณภาพของคนเป็นหลัก มันถึงได้เป็นอย่างนี้ ลองสังเกตุดูดีๆ คนเสื้อแดงที่มีสมาชิกมากอยู่ในขณะนี้ก็เพราะมาจากคนเหล่านี้ ตรงนี้เป็นความผิดของสังคมโดยชัดเจนไม่ใช่นักการเมือง ดังนั้นประการนี้คงก็ต้องโทษฝ่าย 99% แบบเต็มร้อยอีกเช่นกันครับ

เป็นไงครับ ทีนี้ลองใช้เครื่องคิดเลขบวกลบคูณหารดูก็แล้วกันครับว่า ใครมีส่วนผิดมากกว่ากัน อยากจะเรียนทิ้งท้ายตรงนี้เอาไว้สักนิดหนึ่งครับว่า คนเราก่อนจะไปโทษใครอื่น เราควรโทษตัวเองตั้งทิ้งไว้ก่อนครึ่งหนึ่ง ที่เหลือค่อยไปหาเหตุผลมาหักล้าง(อย่างตรงไตรงมา)กันอีกที มันถึงจะถูกต้องและมันถึงจะเกิดการพัฒนา(พัฒนาระบบความคิดและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม) ไม่ใช่ว่า อะไร ๆ ก็โทษแต่นักการเมือง ซึ่งเราคงจะลืมไปว่า ไอ้นักการเมืองที่เรากำลังโทษอยู่นั้น  แท้ที่จริงแล้วเรานี่แหละเป็นคนเลือกมันมากับมือ แล้วเราจะเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าอย่างนั้นหรือ?

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิเคราะห์สังคมไทย "ทำไมเราจึงมีนายกฯ จากตระกูลชินวัตรมากถึง 3 คน?"

ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต
สังคมทุกสังคมในโลกนี้ย่อมมาจากผู้คนมากหน้าหลายตามารวมกัน นอกจากจะหลายหน้าหลายตาแล้วยังมีหลายแนวความคิดอีกด้วย ในสังคมใหญ่ระดับประเทศก็สามารถแบ่งย่อยเป็นสังคมเล็กได้อีกเช่น เช่น ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล ฯลฯ สังคมที่เล็กที่สุดก็คือครอบครัว ทุกคนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวล้วนมีเอกลักษณ์ของตนเองทุกคน เช่น พ่อชอบเลี้ยงหมา แม่ชอบเลี้ยงปลา ลูกคนโตชอบเลี้ยงนก ลูกคนเล็กชอบเลี้ยงแมว จะเห็นว่าชอบไม่เหมือนกัน แต่ในความต่างย่อมมีความเหมือน จากตัวอย่างที่ยกมาทุกคนในครอบครัวมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนเป็นคนรักสัตว์ นี่คือเอกลักษณ์ของครอบครัว และถึงแม้แต่ละคนจะรักชอบสัตว์ไม่เหมือนกันแต่ทุกคนก็เคารพในความรักสัตว์ของคนอื่นที่แตกต่างไปจากตัวเอง โดยการไม่ไปดูหมิ่นความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่น ซึ่งจะเป็นชนวนของความขัดแย้งของครอบครัวในภายหลัง นี่คือ วินัย ของสมาชิกทุกคนในครอบครัวตามที่ยกตัวอย่างมา
ก่อนจะไปวิเคราะห์ครอบครัวชินวัตร เรามาวิเคราะห์สภาพสังคมไทยทั้งหมดให้ดีเสียกันเสียก่อนว่า มันอยู่ในสภาพใด เนื่องจากสังคมไทยคือคนไทยทั้งประเทศเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกนายกฯตามสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

สภาพสังคมไทย ถ้าพิจารณากันจากนิสัยใจคอของคนไทยในปัจจุบันพบว่า

1. คนไทยมีความเชื่อแบบผิด ๆ เช่น อยากเด่นอยากดังจนเกินความพอดี อยากให้คนอื่นยอมรับตัวเองโดยที่การยอมรับนั้นมิได้มาจากความดีที่ตนเองทำสะสมมา สังเกตุง่าย ๆ ทุกวันนี้เวลาเราไปร่วมงานมงคลอะไรก็ตามเช่น สมรส บวชนาค หรือแม้แต่งานศพ ทุกคนที่ไปร่วมงาน ต่างก็แต่งตัวโอ้อวดกัน ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ แต่งหน้าแต่งตาแข่งกัน บางคนก็ชอบคุยโอ้อวดแกมข่มผู้อื่น ให้คนอื่นรู้ว่า "กูใหญ่" อย่างนี้เป็นต้น ทำให้เกิดการเลียนแบกันอย่างกว้างขวาง ถามว่าพฤติกรรมแบบนี้มันผิดไหม แน่นอน มันไม่ผิด แต่มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความคิดและพฤติกรรมที่ผิด ๆ อื่น ๆ ตามมาเช่น วันดีคืนดีเกิดหลายคนมั่นใส้คนที่กำลังคุยโม้โอ้อวดอยู่นั้น ด้วยการพูดขัดคอขัดใจ ในที่สุดก็เกิดปากเสียงและวิวาทกัน และแน่นอน คนไทยเมื่อทะเลาะวิวาทกันแล้วถ้าไม่ตายกันสักข้างก็คงไม่ยอมจบเรื่อง นี่คือทีมาของปัญหาการขาดความสามัคคีกันของคนไทย และจะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ว่ามากันเป็นวงกว้างจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาในสังคม

2. คนไทยไม่ชอบระเบียบกฎเกณฑ์ที่นำมาใช้บังคับ ยกตัวอย่าง เช่น การเข้าคิวเพื่อติดต่อทำธุระกับทางราชการ คนมีเงินไม่ต้องต่อคิวเพียงแค่ยื่นซอง(สินน้ำใจ)ให้เจ้าหน้าที่(แบบลับ ๆ) แล้วก็กลับบ้านได้เลย แต่คนที่ไม่ค่อยมีเงินไม่มีทางเป็นอื่นได้เลยคือต้องเข้าแถวต่อคิวรอตามระเบียบ เรียกได้ว่า กฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งทางสังคมและทางกฎหมายมีบังคับใช้จะใช้ได้เฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเงินเท่านั้น  นี่คือสองมาตรฐานตัวจริง  จึงกลายเป็นประเด็นของการทุจริตคอรัปชั่นในเวลาต่อมาและมีปัญหาที่รุนแรงอยู่ในปัจจุบัน จากผลสำรวจบอกที่ว่า "ถึงนักการเมืองจะทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างไรก็ช่าง แต่ขอให้แบ่งจัดสรรค์แบ่งปันมาถึงตัวเองและพวกพ้องด้วย เป็นอันพอ" นี่คือสัญญาณอันตรายอีกหนึ่งสัญญาณ อย่าไปโทษนักการเมืองเป็นอันขาด เพราะเราไปยอมรับวัฒนธรรมการลัดคิวด้วยเงินกันเอง แน่นอนคนไม่ค่อยมีเงินในวันนี้ เมื่อได้เห็นตัวอย่างการลัดคิวด้วยวิธีดังกล่าว เชื่อว่าสักวันเขาต้องทำตาม เพราะมันง่ายและสะดวก แม้ว่าวันนี้จะไม่มีเงินก็ตาม (แต่ก็จะไปหาเงินมาเพื่อทำการดังกล่าวในวันหน้าแน่นอน) และวัฒนธรรมลัดคิวดังกล่าวมีให้เห็นกันเกืออบจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับสังคมไทยในวันนี้

3. คนไทยชอบใช้กำลังมากกว่าใช้เหตุผล นิสัยคนไทยในข้อนี้ดูเหมือนจะไปสอดคล้องกับข้อ 1 อย่างลงตัวพอดี และในข้อ 6 จะอธิบายว่าทำไมคนไทยไม่ชอบใช้เหตุผล

4. คนไทยขาดหลักคิด เพื่อส่วนรวม โดยปกติสมาชิกที่ดีของสังคมจะต้องให้ความสำคัญและรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าต่อตัวเอง เนื่องจากถ้าสังคมหรือส่วนรวมอยู่ไม่ได้ตัวเองก็ต้องอยู่ไม่ได้เช่นกัน แต่คนไทยในเวลานี้หาคนที่คิดแบบที่ว่ามา ได้น้อยมาก ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็จะทำตามความต้องการของตัวเอง คนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรไม่อยากคิดและขี้เกียจคิด นั่นก็คือคนไทยขี้เกียจคิดเรื่องผลกระทบที่จะตามมาในภายหลัง ทำอะไรก็แค่ทำแบบลูบหน้ปะจมูกเอา เอาแค่รอดตัว(เอง) ส่วนคนจะได้รับผลกระทบจากที่ฉันทำอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของฉัน ทำให้สายสัมพันธ์ของระหว่างคนในสังคมเริ่มเจือจางลง แต่ละคนต่างก็เห็นแก่ตนและพวกพ้องเป็นสำคัญ เมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน ตัวเองนั่งสะห์ใจ สายสัมพันธ์ที่เจือจางอยู่แล้วก็เริ่มขาด ทำให้ความสามัคคีของคนในสังคมอ่อนกำลังลงไปเพราะไม่ยึดมั่นและให้ความสำคัญกับส่วนรวม


5. คนไทย ชอบความง่ายจนเกิดเป็นนิสัยที่เรียกว่า "มักง่าย"  ความมักง่ายสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ในที่นี้ผมหมายถึง "อะไรที่ไม่เกี่ยวกับกู กูจะไม่เกี่ยว กูจะไม่ยุ่ง" ต่างหากครับ  กล่าวคือคนไทยยุคนี้ไม่อยากเดือดร้อนเพราะเรื่องคนอื่นครับ ยากครับ ที่จะหาคนกล้า(หาญ)ในยุคนี้ ผู้หญิงโดนฉกกระเป๋าไปต่อหน้าต่อตา แต่คุณผู้ชายบางคนนั่งทำหน้าตาเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ ขี้เกียจเป็นพระเอก ไม่อยากยุ่งยากเรื่องค้า(คดี)ความในศาล ตรงนี้จะเห็นว่าในเวลานี้คนดีไม่มีกำลังใจจะทำความดีเพราะกลัว(อำนาจมืดหรืออำนาจอะไรผมก็ไม่ทราบ) ทำให้ทุกวันนี้เราอยู่กันไปแบบตัวใครตัวมัน เพราะมันง่าย ที่ดูแลและควบคุม เพราะคนอื่นไว้ใจยาก นี่คือที่มาของความมักง่าย

6. เมื่อ ขี้เกียจ แล้วก็ต้องมักง่าย และสิ่งสุดท้ายที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นก็คือ โง่ เพราะสมองเมื่อไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็ย่อมตีบตัน คิดอะไรไม่ค่อยออก และยากแก่การพัฒนา ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนไทยขี้เกียจแม้แต่จะคิด แยกแยะด้วยเหตุผล เพราะการไม่ชอบใช้เหตุผลนี่เองที่ทำให้คนไทยโง่ลง ซึ่งจะสอดคล้องกับข้อ 3 อย่างชัดเจน เมื่อไม่ชอบใช้เหตุผล ก็ต้องใช้แต่อารมณ์และกำลังในการแก้ปัญหาต่าง ๆ สิ่งที่จะบ่งบอกถึงคุณสมบัติข้อนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือ คนโง่ชอบใช้กำลัง คนฉลาดชอบใช้เหตุผล ซึ่งคนไทยกลับตรงกันข้ามกับคนฉลาด สาเหตุทั้งหมดก็มาจากที่ได้กล่าวไปแล้ว  ทีนี้ คนเมื่อโง่ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด ถ้าคนนฉลาดแต่ไม่คดโกงมาหลอกก็คงไม่เสียหายอะไรมากนัก แต่ถ้ากลับตรงกันข้าม(คนฉลาดและโกง)ก็ย่อมเสียหายในวงกว้างทั่วทั้งสังคม  และไม่มีทางที่สังคมนั้นจะกลับไปมีความสมบูรณ์สุขได้อีกต่อไป  เพราะทุกวันนี้สังคมไทยมีคนอยู่แค่สองประเภทคือ คนโง่ กับ คนโกง สมยอมผลประโยชน์กัน

นี่คือสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน จริงอยู่ว่า ยังมีคนไทยที่ไม่ได้เป็นตามที่กล่าวมาอีกจำนวนหนึ่ง แต่ถือว่าน้อย เพราะถ้าสังคมไทยมีคนที่มีคุณภาพเกินครึ่งประเทศ ตระกูลชินวัตร ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ของประเทศได้เลยแม้แต่คนเดียว ทีนี้ลองมาสำรวจดูว่า คนในตระกูลชินวัตร เขาเป็นเขาอยู่กันอย่างไร

แน่นอนตระกูล ชินวัตร เขาอยู่กันแบบเครือญาติ มาจากหลาย ๆ ครอบครัว แต่มีครอบครัวหลักอยู่ครอบครัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ต่างภายในตระกูลให้ลงตัว ครอบครัวดังกล่าวก็คือ ครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร เรียกว่าเป็น พี่ใหญ่ จะเห็นว่าการจัดการภายในของพี่ใหญ่นั้นทำได้ดีเยี่ยม เพราะเราแทบจะไม่เห็นคนในตระกูลชินวัตร ทะเลาะเรื่องผลประโยชน์ เหมือนอย่างหลาย ๆ ตระกูล ดังนั้นหากภายใน(ตระกูล)ทุกอย่างดีและพร้อม การออกไปต่อสู้หรือแข่งขันกับสังคมภายนอกเพื่อแสวงหากำไรก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และแล้ว ตระกูลชินวัตรก็เริ่มแผ่ขยายเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะพี่ใหญ่ทักษิณเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ให้คนในหลายหลายวงการได้อย่างลงตัว ทำให้ได้รับการยอมรับและศัทธา แต่สิ่งหนึ่งในรูปแบบหรือวิธีการที่พี่ใหญ่ใช้ในการจัดสรรค์ผลประโยชน์ให้คนในสังคมนั้น จะใช้รูปแบบของวัฒนธรรม ลัดคิว เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน และมักจะสำเร็จทุกครั้ง จนได้รับการยกย่องและได้รับความไว้วางใจจากคนไทย(มักง่าย)ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกฯ

จะเห็นได้ว่าเส้นทางการได้มาเป็นนายกฯของประเทศไทย มันมีความสอดคล้องอย่างลงตัวกับสภาพสังคมไทยในเวลานี้ นั่นก็คือ วัฒนธรรม ลัดคิว และ การสมยอมผลประโยชน์ โดยที่ ผิด-ถูก ชั่ว-ดี ไม่มีความหมาย เลยทำให้สังคมไทยที่ป่วยเป็นโรค ขาดแคลนคนดีและกล้าหาญ ซึ่งคล้าย ๆ เม็ดเลือดขาวในร่างกายมนุษย์ หากเม็ดเลือดขาวลดน้อยโอกาสที่จะเป็นสาระพัดโรคก็ย่อมมีสูง  และสังคมไทยกลับมีเคราะห์หนักเข้าไปอีก  เมื่อสังคมไทยกลับต้องเจอ วัคซีนทำลายเม็ดเลือดขาวเข้าอีก จากการใช้นโยบายประชานิยม ส่งเสริมการเล่นพนันอย่างถูกกฎหมาย เรียกว่า อบายมุขครบวงจร อีกไม่นานร่างกายนี้จะสิ้นแรงและล้มตาย เพราะเชื้อโรคจะทำลายระบบต่างของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจ อีกไม่นานเกินรอ

จากที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปง่าย ๆ ก็คือว่า ณ วันนี้ คนไทยชอบความมักง่ายจนไร้ระเบียบวินัย เมื่อวินัยคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคมถูกมองข้ามถูกปฏิเสธและถูกละเลย ความวุ่นวายในสังคมก็ตามมา ถ้าวุ่นวายถึงขั้นรุนแรงก็จะควบคุมไม่ได้ และจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงในวันหน้า สำหรับสมาชิกในตระกูล ชินวัตร แค่ 3 คนที่ได้เป็นนายฯ ไปแล้ว  ยังถือว่าน้อยไป  ดังนั้นสมาชิกในตระกูลชินวัตรที่เหลือและยังไม่เคยเป็นนายก ฯ มาก่อน โปรดเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของประเทศไทยในโอกาสต่อไปได้เลย เพราะหนทางสะดวกยิ่งนัก

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติอ่านบทความ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผ่าโลก "คนรวย"


ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในเอนทีก่อนเรื่องผ่าโลก "คนจน" แล้วว่า ผมไม่ใช่คนจนและผมไม่ใช่คนรวยแต่ผมเคยเป็นคนจนมาก่อนและในอนาคตจะไม่มีวันที่ผมจะได้เป็นคนรวยแน่นอน  แต่มาวันนี้ผมกำลังจะสะเออะเขียนเรื่องของคนรวย(มันน่ามั่นใส้นัก) นับจากช่วงเวลานี้ไป ผมจะสมมติว่าตัวผมเองเป็นคนรวย เพราะหากไม่เล่นสมมติเช่นนี้ มันเขียนยากเกินกำลังสำหรับคนที่ไม่เคยรวยอย่างผม และทั้งหมดที่กำลังจะถ่ายทอดออกไปในเอนทรีนี้ อาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง ก็ต้องขออภัยเอาไว้ก่อน เพราะนี่คือการนั่งเทียนเขียน หรือเขียนเดาเอา เสียเป็นส่วนใหญ่ เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาผ่าโลก "คนรวย"กันเลยดีกว่า

คนรวยคือใคร? ตรงนี้อาจจะมีความเห็นแตกต่างกันออกไป  ในบทความนี้ผมหมายถึง "คนที่ได้กำไรมากจนเหลือกินเหลือใช้ และไม่รู้ว่าจะเอาส่วนที่เหลือกินเหลือใช้ไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อของแพงที่ไม่มีความจำเป็นแก่การดำรงชีวิตมาใช้มากินหรือมาอวดคนที่รวยน้อยกว่าตัวเองหรือคนจนนั่นเอง"

จากนิยามของ คนรวย ที่ผมเขียนมานั้น ทีนี้เราลองมาศึกษาอุปนิสัยใจคอของคนรวยกันดู โดยผมถอดนิสัยเด่น ๆ ของคนรวยออกมาจาก นิยามข้างบนได้ดังนี้

1. คนรวย ชอบความสะดวกสบาย เพราะมีเงิน ข้าวของหรือบริการใด ๆ ในโลกนี้หากทำให้ชีวิตตนเองสะดวกสบายขึ้น ยินดีที่จะสรรหามาใช้โดยไม่ขี้เหนียว เรียกว่าใช้เงินได้คุ้มค่าเพื่อแลกกับสิ่งของอำนวยความสะดวกเหล่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตคือการได้เรียนรู้กับความยากลำบากถูกตัดขาดออกไปจากชีวิตโดยสิ้นเชิง

2. คนรวย ชอบอวดและชอบคุ้ยโม้  สังเกตุง่ายมาก  ใครที่ชอบใส่สร้อยคอ สร้อยข้อมือ เครื่องประดับร่างกายทุกชนิดที่มีราคาแพง แสดงว่า ใช่เขาล่ะ คนรวยแน่นอน เพราะคนจนคงไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นมาใส่อวดใครได้ นอกจากจะชอบอวดด้วยการแสดงตัวดังกล่าวแล้วยังไม่พอ มันต้องพูดเสียงดังฟังชัดว่า ที่ฉันใส่มาแค่ไม่กี่บาท(ทอง) ที่บ้านยังมีอีกหลายเส้น  น่าจะประมาณนี้  เราหรือใครได้ยินแบบนี้เข้าก็ขอให้เข้าใจโดยทันทีว่า เขาเป็น คนรวย  อย่าได้รังเกียจเขา เพราะธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น ลองถ้าเราได้มีโอกาสได้สนิทกับคนแบบนี้ เราต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการชักชวนให้คนเหล่านี้ร่วมทำบุญ(อะไรก็ได้)กับเขาลองดู หากเขาปฏิเสธแบบไม่มีเหตุผลหรือร่วมทำบุญกับเราแต่จัดว่าทำในจำนวนที่ถือว่าน้อย แสดงว่า นั่นคือคนรวยไม่จริง แต่ถ้าเขาทำทันทีโดยเต็มใจไม่ถามอะไรที่ดูแล้วเซ้าซี้กวนใจ นั่นแสดงว่า เขาคือคนรวยจริง เพราะคนรวยจริง  ชอบทำบุญโดยธรรมชาติของพวกเขาอยู่แล้ว เพราะถ้าได้ทำบุญนอกจากจากจะได้บุญแล้วยังได้หน้าได้ตาอีกหาก พวกเขาจึงชอบทำบุญด้วยเหตุผลนี้

3. ขี้อิจฉา-ขี้สงสาร สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเสมอ เพียงแต่ผมรวบเข้ามาเป็นอันเดียวกัน เพื่อใช้อธิบายสภาพจิตใจของคนรวยเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ทุกคนเมื่อเจอสิ่งที่ตนเองปราถนากับเมื่อตนเองได้เจอสิ่งที่ไม่ปราถนามันจะมีอารมณ์ความรู้สึกที่คล้าย ๆ กัน แต่เป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน  ในที่นี้คนรวยหากเจอสิ่งที่ตัวเองไม่ปราถนา เช่น ถ้าลองมีใครมาแสดงว่ารวยกว่าตนเอง ความขี้อิจฉาก็จะเข้ามาครอบครองสมองเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันหากคนรวยไปเจอกับสภาพที่ตนเองปราถนา เช่น มีคนที่ต้อยต่ำกว่ามานั่งประจบประแจง หรืออาจจะเรียกว่า เลียแข้งเลียขาก็ได้  ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต่างก็ชอบและปราถนากันทุกคน ความขี้สงสารก็จะเข้ามาครอบครองสมองคนรวยทันที นี่คือสภาพจิตใจของคนรวย เมื่อกระทบเข้ากับสภาพที่ตนเองปราถนาและไม่พึงปราถนา มันจะส่งออกผลมาในทิศทางที่คล้ายกันแต่กลับตรงข้ามกัน และจะกลายเป็นสิ่งจูงใจให้คนรวยกระทำการใด ๆ ออกมาในเวลาต่อมา เช่น หากเกิดความอิจฉาขึ้นก็ต้องสู้กันบ้าง โดยการเกทับฝ่ายตรงข้ามกลับไปเพื่อเป็นการตอบโต้ เป็นต้น หรือหากเกิดความสงสารขึ้นคนรวยก็จะให้ความช่วยเหลือ เกื้อกูล ผู้ที่ตำต้อยกว่า เพราะตนเองมีกำลังมีทุนทรัพย์ที่จะทำได้ อย่างนี้เป็นต้น

ผมได้นำเสนอนิสัยที่เด่น ๆ ของคนรวยมาทั้งหมด 3 ประการ  จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะครับ  แต่ผมไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมด เอาแค่พอหอมปากหอมคอพอ เพราะยังมีอย่างอื่นของคนรวยที่สำคัญกว่าที่จะนำเสนอต่อไป ทีนี้ผมจะลองจำแนกคนรวยตามลักษณะความเป็นมาของคนรวย ซึ่งผมจำแนกออกมาได้สามลักษณะดังนี้

1. คนรวยดั้งรวยเดิม เรียกว่า เกิดมาก็รวยทันทีเพราะบุพการีมีทรัพย์สมบัติไว้ให้ใช้ นอกจากพวกเขาจะมีสมบติแล้วพวกเขายังมี วัฒนธรรมการรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่ยั่งยืนสืบไป ตกทอดกันมาเป็นรุ่น ๆ ทำให้คนรวยตามลักษณะนี้แทบจะไม่มีโอกาสจะกลายเป็นคนจนได้เลย วัฒนธรรมการรักษาทรัพย์สมบัติที่กล่าวถึง ได้แก่ การใช้จ่าย และการแสวงหาสมบัติมาเพิ่มเติม สองอย่างนี้ต้องไม่ขาดทุนเป็นอย่างน้อย คนรวยตามลักษณะนี้บางทีเราเรียกเขาว่า พวกผู้ดี ก็ได้

2. คนรวยที่มาจากคนจนสู้ชีวิตแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก็คือคนที่เคยจน แต่เป็นคนจนที่ขยัน มีมานะอดทน เก็บหอมรอมริบดี คนรวยที่มาจากสาเหตุนี้เช่น คนจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระมหากษัตริย์ไทย ในตอนที่อพยพมาก็มีแค่สื่อผืนหมอนใบเรียกว่ามานับหนึ่งใหม่บนแผ่นดินไทย พอเวลาผ่านล่วงเลยมาจนถึงยุคปัจจุบันคนเหล่านี้ก็นับมาถึงสิบแล้ว คือร่ำรวยเป็นเถ้าแก่ อะเสี่ยกันไปหมดแล้ว จะเห็นคนรวยแบบนี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะได้รวย และที่สำคัญเมื่อรวยแล้วก็ยากที่จะกลับไปจนอีก ลูกหลานของคนรวยแบบนี้ก็จะกลายเป็นคนรวยดั้งรวยเดิมนั่นเอง

3. คนรวยที่มาจากความฟลุ๊คหรือรวยบนเส้นทางลัด เช่น ถูกหวยหรือล็อตเตอรี่ หรือได้โชคจากการเสี่ยงโชคอย่างอื่น เช่น เล่นหุ้นหรือถูกหวย คนรวยแบบนี้เท่าที่ผมเคยเห็นมักจะเป็นแบบเดียวกับไฟไหม้ฟาง คือรวยชั่วประเดี๋ยวแล้วกลับไปจนเหมือนเดิม เพราะอะไรที่ได้มาง่าย มันก็จะหมดไปง่ายเช่นกัน เพราะไม่ได้รู้ซึ้งถึงรสชาติในการได้มา ก็เลยใช้จ่ายไม่ค่อยเป็น คิดว่าเมื่อหมดแล้วเดี๋ยวค่อยหาใหม่เพราะหาง่าย แต่ว่ารวยแบบพึ่งดวงแบบนี้ยากที่จะกลายเป็นคนรวยแบบถาวรเหมือนอย่างสองแบบที่กล่าวไปก่อนแล้ว ในประเทศไทยมีคนรวยแบบนี้มากกว่าทั้งสองแบบบนรวมกันเสียอีก

ต่อไปผมจะจัดแบ่งประเภทคนรวยตามเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต(ก่อนตาย) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้ครับ

1.รวยแล้วพอ หมายความว่า "ถ้าเมื่อไหรที่ตัวเองรวย  ก็พอแค่นั้น โดยบรรดาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่หามาได้นั้น จะเหลือตกเป็นสมบัติแก่ลูกหลานไม่มาก กล่าวคือ จะปล่อยให้ลูกหลานได้ลำบากบ้างเพื่อเรียนรู้ชีวิต โดยใช้ทรัพย์สมบัติส่วนที่ได้จากมรดกเป็นทุน สำหรับฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาของชีวิต จนกว่าจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยเช่นเดียวกับตน ซึ่งหากทุกอย่างได้ตามที่คาดหวัง มันคงจะหอมหวนเสียยิ่งกว่า น้าผึ้งเดือนห้าเสียอีก แต่หากลูกหลานไม่ประสบความสำเร็จตนเองก็พร้อมจะยอมรับในความผิดพลาดนั้น ข้อสังเกตุก็คือ นอกจากทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยที่จะมอบเป็นมรดกให้ลูกหลานแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกว่าทรัพย์สินที่ต้องการถ่ายทอดเป็นมรดก นั่นก็คือ การถ่ายทอดภูมิความรู้ ซึ่งภูมิความรู้ ถือเป็นความลับอย่างยิ่งที่จะมอบให้แก่ลูกหลาน เอาไปใช้ทำมาหากินในวันข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์เด่นอีกประการหนึ่งก็คือ คนรวยประเภทนี้เลือกคบคนโดยไม่สนใจฐานะ(ความเป็นอยู่)และระดับสติปัญญาคือคบได้หมด หากคนรวยในโลกนี้เป็นแบบนี้ทั้งหมด โลกนี้ก็คงไม่วุ่นวายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่

2.รวยแล้วไม่พอ หมายความว่า "ถึงรวยเป็นเศรษฐีแล้วก็ยังต้องการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองไม่หยุดหย่อน เรียกว่า ยังไม่รู้จักพอ"  เนื่องจากเป้าหมายของชีวิตก็คือ หาสะสมเอาไว้ให้ลูกหลานหลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว ยิ่งได้เยอะ ลูกหลานก็ยิ่งสบาย ไม่ทราบว่าคิดถูกหรือคิดผิด เพราะถ้าคิดเพียงแต่จะมอบสมบัติให้ลูกหลาน  แต่ไม่มอบสติปัญญาให้ด้วย แบบนี้คาดว่ามีเท่าไรก็ไม่พอ  แต่ถ้ามอบทั้งสมบัติและสติปัญญาแบบคนรวยประเภทแรกเชื่อว่า จะอยู่ไปได้ชั่วนาตาปีอย่างแน่นอน และเช่นเดียวกันการเลือกคบคนจะเลือกคบคนโดยมีชั้นเชิง และจะมองหาเหยื่อไปยังกลุ่มที่โง่กว่าตนหรือรู้ไม่เท่ากับตนเพื่อแสวงหาโอกาสและสร้างผลกำไรในอนาคต ดังนั้นอย่าไปถามหาความสงบว่าจะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้เมื่อไร เพราะหากโลกสงบเมื่อไหร่ก็เท่ากับคนรวยประเภทนี้ตายหมดทั้งโลกแล้ว ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ และเมื่อไรที่คนรวยประเภทนี้เห็นว่าคนอื่นที่กำลังคบหาอยู่กับตนนั้นเริ่มฉลาดขึ้น ก็จะคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อทำให้เขาเหล่านั้นโง่เหมือนเช่นเดิม (เพราะหากขืนปล่อยไว้ตัวเองจะหากำไรได้ยากขึ้น) วิธีที่จะทำให้คนอื่นโง่ ได้แก่ 1). พูดถ่ายทอดให้คนอื่นฟังจากปากตัวเองเพียงผู้เดียวเท่านั้นเรียกว่า ผูกขาดความคิดไปเสียเลย 2). ทำให้คนอื่นห่างวัดห่างวาห่างธรรมะ โดยการบิดเบือนพระธรรมคำสอน 3). ถ้ามีอิทธิพลมากพอหรือมีบุญคุณสูงพอก็จะใช้สองอย่างนี้ข่มขู่ เหล่านี้เป็นต้น และทั้งหมดต้องทำไปพร้อม ๆ กับการหยิบยกทรัพย์สินเล็ก ๆ นอย ๆ ให้กับคนเหล่านั้น เพื่อทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณ และห้ามทรยศต่อตนเอง  ไป ๆ มา ๆ คนรวยแบบนี้ก็เข้าข่ายกลายเป็นผู้มีอิทธิพลนั่นเองครับ

ทั้งหมดที่เขียนขึ้นในเอนทรีนี้คือ คนรวย หากเห็นว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร อย่าได้เกรงใจครับ ติติง แนะนำผมได้ครับ ยินดีรับฟังทุก ๆ ความเห็นครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ครับ และพบกันใหม่ในบทความต่อ ๆ ไปครับ

นิสัยคนรวยฉบับละเอียด

ภัยพิบัติตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ?



ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต
พอดีว่าวันนี้ผมพอจะเวลานิดหน่อย เลยได้เข้ามาอ่านบทความของใครต่อของใครเข้า มีทั้งที่ถูกใจและมีทั้งที่ขัดใจ(แต่ขี้เกียจพูดถึง)  เอาเป็นว่าผมจะพูดงเฉพาะที่ถูกใจก็แล้วกันครับ  หนึ่งในนั้นก็คือเอนทรี ทองคำ ดำมุดหนีพวกโลภมาก..เชพรอน สูบน้ำมันไม่ได้ตามที่สำรวจในอ่าวไทย ของบล็อกเกอร์ ปัจเจกตน ซึ่งในเอนทรีดังล่าวผมได้เขียนคอมเมนต์ทิ้งท้ายเอาไว้ ก็เลยคิดเสียดายว่า นาน ๆ ตัวเองจะเขียนคอมเมนต์ได้เข้าทาสักที ก็เลยขอเอามาเขียนเป็นเอนทรีใหม่เสียกว่า ขออนุญาติท่านบล็อกเกอร์ ปัจเจกตน ด้วยนะครับ

จากชื่อเรื่องที่ผมตั้งเอาไว้ จริง ๆ ผมเคยเขียนมาหลายบทความแล้วแต่ไม่เคยลงลึกสักที วันนี้จะเอาเวลาที่มีเพียงน้อยนิดมาอธิบายใหม่ให้ลึกกว่าเดิม เพื่อให้ใคร ๆ ที่ได้อ่านล้วก็น่าจะเข้าใจ(ได้ไม่ยาก) ทั้งนี้ทั้งนั้นขอเรียนกันก่อนว่า ผมไม่ใช่นักพิภพวิทยา หรือ นักปฐพีศาสตร์ เพียงแต่พอจะจะมีความรู้เรื่องเทอร์โมไดมานิกส์(Therodynamics) อยูบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยเล่าเรียนมา เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย ผมจะเริ่มอธิบายเพื่อประกอบคำเฉลยว่า ตัวการสุดท้ายที่ทำให้โลกเราได้เป็นอยู่อย่างนี้ คือใครกันแน่ ?
ปัจจุบันนี้โลกของเรากำลังสูญเสียความสมดุลอย่างหนัก โดยเฉพาะใต้พื้นดินที่เราเหยียบอยู่ อันเนื่องมาจาก

1. ความร้อนจากแกนโลก(Maxma) โดยธรรมชาติของความร้อนมันจะต้องระบายจากจุดที่อุณหภูมิสูงไปยังจุดที่มีอุหภูมิต่ำกว่าเสมอ นั่นก็คือความร้อนเหล่านั้นจะแพร่ขึ้นสู่ผิวโลก

2. หากเป็นไปตามข้อ 1. มนุษย์จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่ผิวโลกได้เลย เพราะจะมีอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นโลกจึงได้เอาน้ำที่เป็นของเหลวอันได้แก่ น้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำมัน และนอกจากของเหลวแล้วก็ยังไม่พอ โลกยังได้เอาลมที่เป็นก๊าซมาขัดขวางความร้อนจากข้อ 1. เอาไว้อีกด้วย เพื่อช่วยกันขัดขวางความร้อนโดยไม่ยอมให้ความร้อนดังกล่าวขึ้นไปถึงผิวดินได้

3. พอน้ำมันและก๊าซถูกมนุษย์ขุดเจาะขึ้นมาใช้มากขึ้น ๆ ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ทั้งน้ำมันและก๊าซหายไปจากโลกใต้ดินทิ้งเหลือไว้แต่โพรงอากาศใต้ดินเป็นจำนวนมาก เรียกว่าตอนนี้โลกในเวลานี้ไม่มีเครื่องชลอความร้อนจากใต้ดิน ทำให้ผิวดินบนโลกบางพื้นที่มีอากศร้อนมากและร้อนเป็นเวลายาวนาน

4. เมื่อผิวดินร้อน ทำให้อากาศบริเวณนั้นจะกลายเป็นหย่อมความกดดันอากาศสูง เป็นเหมือนตัวล่อให้ลมเย็นบริเวณอื่นวิ่งเข้ามาแทนที่ลมร้อนแถวนั้น แต่ว่าเวลาลมเย็นมันเคลื่อนที่มานั้น มันมาแบบติดต่อและต่อเนื่องกัน จนกลายเป็นพายุ และนับวันจะยิ่งเกิดมากขึ้น ถี่ขึ้น ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ด้วยเหตุที่ว่ามานี้

5. ในขณะเดียวกันโพรงอากาศใต้ดินในข้อ 3. มีแต่ลมร้อนแผดเผาทำให้มันต้องหาของเหลวหรือก๊าซใหม่มาอยู่แทนที่  หากหาได้นั่นก็คือสูบหรือดูดแบ่งมาจากแหล่งอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ กัน (เนื่องจากทั้งน้ำมันและก๊าซไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ทดแทนของเก่าได้เองภายในเวลาร้อยหรือสองร้อยปี)  แต่ถ้าหามาแทนที่ไม่ได้ ลองนึกถึงโพรงดินที่ถูกไฟเผาอยู่ทุกขณะเวลา ในที่สุดดินก็จะค่อยผงและผุกร่อนจนพังทลายจนกลายเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว
ทีนี้ก็คงจะเห็นแล้วว่า ใครคือตัวการที่แท้จริง  ที่ทำให้โลกเราไม่น่าอยู่มากขึ้นทุกวัน ใครครับ?

แหล่งเดิมที่เคยเผยแพร่

ผ่าโลก "คนจน"


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"คนจน" ทุกท่านคงรู้จักกันดี ผมคงไม่ต้องเขียนนิยามของคนจนมากนัก ดังนั้นขอสรุปสั้น ๆ เอาเลยแล้วกันว่า "คนจนคือคนที่รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ชักหน้าไม่ถึงหลัง จนบางครั้งต้องตั้งงบประมาณแบบเกินดุล เพื่อไปขอกู้จากแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน" คนจนในที่นี้ผมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1. คนจนแต่ขยัน  คนจนประเภทนี้เรียกว่า สู้ชีวิตทุกอย่างที่ถูกกฎหมาย ไม่เกรงกลัวกับความเหนื่อยยากหรือลำบากใด ๆ หาเช้ากินค่ำ อดมื้อกินมื้อ  และถึงแม้ว่าจะเป็นชีวิตที่หาเช้ากินค่ำ  แต่ถ้ากินเหลือหรือเหลือกินก็ยังรู้เก็บหอมรอมริบเอาไว้ สะสมเล็กสะสมน้อย รู้คุณค่าของเงินว่าแต่ละบาทนั้นเหนื่อยยากแค่ไหนกว่าจะได้มา  ถ้าคนจนในประเทศไทยเป็นแบบนี้ทั้งหมด ประเทศไทยก็คงพัฒนาไปไกลตั้งแต่ปีมะโว้แล้วล่ะครับ  
คนจนแต่ขยันนี้นอกจากจะรู้จักอดออมแล้ว  ยังรู้จักทำบุญให้ทาน ทำบุญกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ (คนจนประเภทขยันแต่ไม่รู้จักทำบุญให้ทานเขาจะเรียกว่า "ตระหนี่") เพราะคนจนขยันมีน้ำมนต์อันศักดิ์คอยรดหัวราดตัวตั้งแต่เช้ายันค่ำ นั่นก็คือ "เหงื่อ" นั่นเอง เป็นสิ่งที่ทำให้คนจนที่ขยันสัมผัสได้ถึงแก่นของ "ธรรมะ" อันที่ว่าด้วยการดับทุข์จากความจน  ด้วย "สัมมาอาชีวะ" คือการเลี้ยงชีพชอบ ดังนั้นในโลกของคนจนประเภทขยันจริง ๆ แล้วไม่จนจริง ๆ หรอกครับ หรืออาจกล่าวได้ว่า "จนไม่จริง" ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเขารู้จักคำว่า "พอ" และมีความสมเหตุสมผล มีหลักการในการคิดตัดสินใจ  จะเลือกซื้อสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคแต่ละสิ่งแต่ละชิ้น ก็มีหลักคิดอย่างเป็นระบบว่า อันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ  พูดได้ว่า "คิดแบบแยกแยะด้วยเหตุและผลอย่างมีระบบ" จึงทำให้ชีวิตของคนจนประเภทขยันนี้มีความสุขกายสบายใจ เพราะคนที่ทำงานจนมีเหงื่อไหลทั้งวันสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บ ไม่ค่อยป่วย และอายุยืน นอกจากนี้ก็ยังมีความสุขใจ ไม่วุ่นวายหรือเดือดร้อนมากมายอะไรนัก ที่น่าสังเกตุคือ คนจนประเภทนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้นำแบบเผด็จการ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลิอร์ เพราะคนจนที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการขยันแบบนี้ จะเป็นตัวการสำคัญที่จะรู้(มาก)เท่าทันผู้นำ ซึ่งจะนำมาสู่การต่อต้านผู้นำในที่สุด และในประเทศไทยเราก็ได้เกิดลักษณะอย่างนี้ขึ้นแล้วเกินครึ่งทาง ยังเหลือเพียงแค่(ผู้นำเผด็จการ)ยังไม่มีโอกาสได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
2. คนจนแต่ขี้เกียจ คนเราปกติก่อนที่จะขี้เกียจมักมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความขี้เกียจขึ้น นั่นก็คือ "มีความมักง่าย" กล่าวคือ เห็นแก่ความสุขสบายของตัวเองเป็นที่ตั้ง หากวันไหนต้องเสียเหงื่ออกไปก็ต้องเอาคืนเท่านั้นเท่านี้แบบคนหน้าเลือด หากได้เงินหรือได้กำไรด้วยวิธีไหนที่เร็วที่สุดก็เลือกเอาวิธีนั้นมาใช้สำหรับการแสวงหารายได้ในทันที  ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไร(กู)ไม่สน  สังเกตุดี ๆ ว่า "แม้แต่จะคิดก็ยังขี้เกียจจะคิดเลย" ชอบให้คนอื่นคิดให้เสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกได้ว่า  "มันสมองไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกายกับเขาเลย" และถ้าขี้เกียจคิดแบบนั้นนาน ๆ เข้า มันก็ต้องไม่แคล้วที่จะต้องเป็นอัมพาตสมอง นั่นก็คือ "โง่" ซึ่งรักษาให้หายได้ยากเช่นเดียกับโรคอัมพาตตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  ดังนั้น คุณสมบัติที่สำคัญและเด่นชัดของคนจนประเภทนี้ก็คือ มักง่าย ขี้เกียจ แล้วก็โง่
ชีวิตของคนจนแต่ขี้เกียจในแต่วันมีแต่เรื่องวุ่นวาย เดือดร้อย  หาความสุขได ๆ ได้ยากหรือหาไม่ได้เลยในชีวิต  อันนี้นอกจากจะจนจริง ๆ แล้วยังถือว่า เป็นการจนแบบถาวร อีกต่างหาก ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนของคนจนประเภทนี้เกินครึ่งประเทศแล้ว เพราะเขาจนแบบถาวรมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไงล่ะครับ คือจนอยู่อย่างไรก็จนอยู่อย่างนั้น ส่วนคนจนแบบขยันนั้นส่วนใหญ่ก็ได้กลายไปเป็นคนรวยบ้างหรือกลายไปเป็นคนชั้นกลางบ้างแต่ก็มีจำนวนไม่มาก เพราะคนจนแบบขยันนั้นมันพัฒนาได้  และค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป แต่คนจนแบบถาวรนี่สิ ยากแก่การพัฒนาทั้งชีวิตและจิตใจรวมทั้งสติและความคิด  ซึ่งถ้าจะเรียกว่า "ไพร่" ก็คงไม่ผิด  นอกจากจะยากพัฒนาทั้งชีวิตและจิตใจแล้ว  คนพวกนี้ก็ยังขยายเผ่าพันธ์ได้รวดเร็วอีกต่างหาก เพราะคนจนแบบนี้เช้าก็ออกไปทำงาน ตกเย็นกลับมาบ้านก็เมาเหล้า ค่ำลงก็เข้ามุ้ง(นอน) วัดวาก็ไม่ค่อยได้ไป จึงมีเรี่ยวแรงและเวลาเหลือเฟือสำหรับทำกิจกรรมสืบทอดสายพันธุ์กัน ดังนั้นทุก ๆ 9 เดือนถึงหนึ่งปี ก็มักจะได้ทายาทไว้เลี้ยงดูเป็นทิวแถว ถ้าประเทศไทยมีแต่คนจนแบบนี้ ประเทศไทยก็คงล่มสลายไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วเหมือนกัน หรือไม่ก็คงอีกไม่นานเกินรอ ที่น่าสังเกตุก็คือ คนจนประเภทนี้จะเป็นที่โปรดปรานของเหล่าผู้นำประเทศแบบเผด็จการทั้งสิ้น โดยผู้นำแบบเผด็จการจะส่งเสริมให้คนพวกนี้ดูเหมือนไม่จน(แค่มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเล็กน้อย) แต่จะสนับสนุนให้คนจนประเภทนี้ยังคงเอกลักษณ์ มักง่าย ขี้เกียจ โง่ และจน ให้คงอยู่ต่อไป เพราะพวกผู้นำเผด็จการจะปกครองคนเหล่านี้ได้ง่าย แต่ผลสุดท้าย ประเทศต้องล่มสลายลงเร็วยิ่งขึ้น เพราะความจริงก็คือความจริง ผลของความขี้เกียจอันสาเหตุมาจาก มักง่าย แล้วจึงขี้เกียจ ขี้เกียจนาน ๆ ก็โง่ และท้ายที่สุดคือ จนแบบถาวร ก็คือความจริงเช่นกัน
ถ้าหลายท่านยังจำกันได้หลังจากผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมาปรากฎว่า พรรคประชาธิปัตย์แพ้ต่อพรรคเพื่อไทย  ถัดจากนั้นไม่กี่วันก็มีบล็อกชื่อว่า คนโง่จะครองโลก ซึ่งอยู่ที่ http://p-achblog.exteen.com/20101129/entry ได้ถูกนำมาเผยแพร่โดยเพื่อนบล็อกเกอร์ของเราท่านหนึ่งคือ JohnWay008 (ขออนุญาติที่เอ่ยนาม) ซึ่งอยู่ในเอนทรี http://www.oknation.net/blog/way008/2011/07/06/entry-1 โดยในเอนทรีดังกล่าวนอกจากเราจะได้ขำ ๆ กันแล้ว (ขำกันทั้งที่ยังเช็ดคราบน้ำตาไม่แห้ง) แต่มันก็มีสาระที่แฝงอยู่ และผมก็ได้ตั้งใจว่าจะพยายามเขียนถึงสาเหตุที่แท้จริงในเรื่องนี้สักครั้ง ซึ่งก็คือเอนทรีนี้นี่เอง
จะเห็นว่าคนจนทั้งสองประเภทนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือแตกต่างกันแบบขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้เลยทีเดียว  หากให้คนจนทั้งสองประเภทนี้แยกอยู่กันคนละประเทศก็แล้วไป ประเทศหนึ่งก็จะเจริญ ส่วนอีกประเทศหนึ่งก็ล่มสลายไป แต่ในโลกของความจริง เรามิอาจทำให้เป็นอย่างนั้นได้ คนจนทั้งสองประเภทนี้ยังต้องมาอยู่ร่วมสังคมร่วมประเทศเดียวกัน ก็คงหนีไม่พ้นที่คนจนขยันจะถูกเอารัดเอาเปรียบ จากคนจนขี้เกียจอยู่เป็นประจำ เพราะคนจนประเภทขี้เกียจสนใจเฉพาะตัวเอง  และคนจนประเภทขี้เกียจยังถือว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่า ก็เลยเกิดความกล้า(ที่จะเอาเปรียบผู้อื่น)โดยไม่เกรงกลัวศีลธรรมหรือเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ถ้าตัวเองผิดก็แก้กฎหมายให้ตัวเองถูก  ภายใต้ประชาธิปไตย(ที่พวกเขาเข้าใจว่า "ประชาธิปไตย คือเสียงส่วนใหญ่") ส่วนคนจนประเภทขยัน(หากถูกเอาเปรียบ)ไม่ถึงกับเดือดร้อนอะไรมาก ก็ถือว่าทำบุญทำทานไป อยู่กันแบบหยวน ๆ กันไป  ทีนี้ลองคิดดูเถิดครับว่า คนแม้จะมีธรรมะธรรมโมแต่ถูกเอาเปรียบทุกเช้าค่ำ ทุกวันคืน นาน ๆ เข้า ใครล่ะจะไปทนไหว (บุญก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน) เพราะถือว่าจะขี้เกียจหรือขยันมันก็คือคนเหมือนกัน ในที่สุดอีกฝ่าย(ซึ่งกำลังจะ)หมดความอดทนและจะสู้ทุกอย่างแบบ "หมาจนตรอก" คราวนี้ล่ะ ก่อนที่ประเทศจะล่มสลาย(เพราะตายด้วยกันทั้สองฝ่าย) "สงคราม" ย่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ บังเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินนี้ อันเนื่องมาจาก "ความจน" (จริง ๆ แล้วก็เกิดขึ้นแทบจะทุกวี่ทุกวัน) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะฝืนความจริงประการนี้ไปได้เช่นกัน
วันนี้ประเทศไทยเราล่วงเวลานั้น(เวลาที่เกินความสมดุลระหว่างคนจนทั้งสองประเภท)มานานแล้ว และมาเร็วยิ่งขึ้นเมื่อประมาณปี 2543 ถึงปี 2548 เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาทองของคนจนประเภทขี้เกียจได้ขยายจำนวนสมาชิกด้วยการเจริญสืบพันธุ์ จนเกินความพอดี ทำให้เกิดความต้องการที่สลับซับซ้อนขึ้นในสังคมไทย ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ผู้ทรงศีล ซึ่งก็ยังเกิดอาการลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน (ตามข่าวที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ ) เมื่อพระสงฆ์บกพร่องในส่วนนี้ ก็เท่ากับว่าปราการด่านสุดท้ายของสังคมไทยก็ได้ทลายลง (แม้ว่าปัจจุบันจะยังเหลือพระสงฆ์ที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยอยู่ก็ตาม แต่จัดว่าน้อยเต็มที) ผมเขียนมาถึงตรงนี้ก่อนจะจบในเอนทรีนี้ อยากเรียนถามว่า เราทุกคนต่างก็สงสารคนจนทุกประเภท อยากจะช่วยให้พวกเขารวยกันทุกคน  แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนรวยได้ ซึ่งจะต้องอธิบายให้พวกเขา(คนจน)เข้าใจในแบบธรรมะเท่านั้น คนจนทุกคนถึงจะเข้าใจได้ และไม่ต้องมาแยกไพร่แยกอำมาตย์กัน(เหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา)  ถึงเวลาหรือยังครับ ที่เราต้องถือว่า "ต้องปฏิรูปวิธีการถ่ายทอดธรรมะสู่คนจน" กันสักที และอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น ความเหน็ดเหนื่อยต่าง ๆ    ที่ในหลวงของพวกเราที่พระองค์ทรงตรากตรำมา จะต้องสูญเปล่า ลองช่วยกันคิดดูนะครับ ในเอนทรีต่อไป ผมจะพยายามเขียนในเรื่อง ผ่าโลก "คนรวย" ดูบ้าง(เพราะจริง ๆ ผมไม่ใช่คนรวยอะไร แต่จะพยายาม ดำน้ำ นั่งเทียนเขียนลองดูสักครั้ง) จากนั้นจะรวบรวมทั้งสองเอนทรีไปเขียนเรื่อง ผ่าโลก "ความพอเพียง" และถ้ายังไม่เกินความสามารถเรื่องสูงสุดที่อยากเขียนก็คือ "เมื่อโลกนี้ไม่มีเงิน(ตรา)" ผมจะพยายามเท่าที่ตัวเองจะมีกำลังสติปัญญาหามาให้พี่น้องคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะจนแบบขยันหรือจนแบบขี้เกียจ  รวมไปถึง รวยแล้วพอกับรวยแล้วต้องเอาอีก เผื่อจะได้เรียกใช้บริการบทความเหล่านี้ของผมก่อนจะตายจากกันในภพนี้  และสุดท้ายก็คงต้องลากันในเอนทรีนี้ด้วยเวลาและเนื้อที่เพียงเท่านี้ ค่อยพบกันใหม่ในเอนทรีต่อ ๆ ไปครับ
ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ

แหล่งเดิมที่เคยเผยปพร่

คู่มือการดำรงชีวิตอยู่(ของคนไทย) ยุคโจรครองเมือง

ทุกวันนี้เราเหมือนกับว่า จะมองหาและรอคอยการกลับไปเป็นสังคมไทยแบบเดิม ทีมีแต่รอยยิ้มให้แก่กัน สามัคคีกลมเกลียวกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน การเมืองน้ำดี สังคมน่าอยู่ ไม่ต้องเรียกร้องหาแล้วครับ ซึ่งประตูนี้ผมคิดน่าจะปิดสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (แนะนำให้อ่านบทความความเก่า ๆ ของผม แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น) ดังนั้นขอให้ทุกท่านตื่นจากหลับฝันเข้าสู่โหมดของโลกแห่งความจริงได้แล้วครับ เพราะทุกวันนี้เราจำทนมีชีวิตอยู่กันไปเหมือนคล้ายกับว่า รอวันตายก็ไม่ปาน คือมันสิ้นหวัง ห่อเหี่ยว ยังไงบอกไม่ถูก แต่จะทนอยู่ต่อเพื่อทำหน้าความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์  เช่น เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรหลาน สืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติไทย ให้คงอยู่สืบไป เหล่านี้เป็นต้น

สิ่งหนึ่งในเวลานี้ ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะว่า สังคมไทยแบ่งเป็นสองขั้วอย่างเห็นได้ชัด ขั้วหนึ่งเป็นพวกชอบลัทธิบริโภคนิยม อีกขั้วหนึ่งเป็นพวกปฏิเสธลัทธิบริโภคนิยม เพราะเห็นว่าลัทธิดังกล่าวไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับประเทศไทย ทั้งสองขั้วต่อสู้กันมานานนับทศวรรษ และจะยังคงต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงไปอีกพักหนึ่ง ในสภาพการณ์แบบนี้ทำให้คนไทยเกิดการหวาดระแวงกัน ไม่ไว้วางใจกัน ซึ่งกันและกัน  ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกับเราหรือไม่ จะพูดจาหรือทำอะไรก็ต้องระมัดระวังเพือ่ปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้เราเป็นพวกของฝ่ายไหน จะเห็นได้ว่าในทุกวันของคนไทยแทบจะหาความสุขไม่ได้เลย

เอาล่ะครับในเมื่อโลกแห่งความจริงมันเป็นโลกที่เจ็บปวดแบบนี้(และผมขอทำนายไว้ว่าจะยังคงสภาพแบบนี้ไปอีกพักหนึ่ง) เราก็จะก้มหน้าก้มตาฝืนทนกันต่อไป อย่าไปคิดโทษใครเลยครับว่า ใครมันเป็นคนทำให้สังคมไทยเราเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ อย่างน้อยที่สุดเราคนหนึ่งก็มีส่วนอยู่บ้างที่เป็นผู้ร่วมกระทำให้สังคมมันเลวร้ายอย่างที่เห็น ดังนั้นในบทความนี้ผมจึงขอนำเสนอ รูปแบบการปฏิบัติตนเองเพื่อให้สามารถดำรงมีชีวิตอยู่ได้บนโลกใบนี้อย่างพอมีความสุขบ้าง แม้จะไม่มากเหมือนเมือก่อนแล้วก็ตาม แต่ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย รูปแบบการปฏิบัติตนนี้ผมจะเรียกว่า "คู่มือการดำรงชีวิตอยู่(ของคนไทย) ยุคโจรครองเมือง" ซึ่งมีข้อปฏิบัติดังนี้

  1. พูดให้น้อยทำให้มาก พูดเท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว เพราะการพูดคือการเปิดประตูความคิดออกมาให้คนอื่นที่ได้ฟัง เข้าไปนั่ง หากคนที่เข้าไปเป็นพวกเดียวกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นคนพวกกันมันก็แย่ ดังนั้นพูดให้น้อย แล้วทำให้มาก เป็นการดีที่สุด
  2. อย่าไปวัดเพียงแค่หวังไปทำบุญ แต่ควรมั่นฝึกปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ แล้วนำมาอบรมถ่ายทอดให้บุตรหลานได้เข้าใจ อันนนี้จะให้เราคลายวิตกลงไปได้ว่า บุตรหลานของเราจะเป็นคนดี
  3. ฝึกการป้องกันตัวเอาไว้ด้วยเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวในเวลาคับขัน และควรฝึกทักษะการเอาตัวรอดให้แก่บุตรหลาน เช่นหัดให้หุงข้าวด้วยวิธีการแบบโบราณ เช่น ไม้ฟืน เตาถ่าน เป็นต้น
  4. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่นโทรศัพท์มือถือ ควรจะใช้รุ่นที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักฐานทางคดีความ
  5. พบเห็นการขัดแย้งหรือการห่ำหั่นด้วยกำลังกัน หากคนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้องด้วย หลบหนีออกไปให้พ้น หากมีสมาชิกในครอบครัวเราเข้าไปพัวพันธ์อยู่ด้วย  ให้หลับตาลงแล้วเรียกสมาธิให้มาอยู่กับตัว แล้วเริ่มแก้ปัญหาความขัดแย้งจากง่ายไปหายาก โดยยึดเจรจาด้วยเหตุผลเป็นหลัก หากอยู่ในเงื่อนไขที่สมาชิกในครอบครัวทุกคนปลอดภัยอะไรที่ยอมได้ก็ยอมมันไปเสียบ้าง เหมือนโบราณว่า เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย
  6. ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง หากเราทำได้และไม่เกินกำลัง โดยไม่ต้องสนใจว่าคนที่เรากำลังช่วยเหลือนั้นอยู่ฝ่ายไหน เพื่อเป็นการสร้างคุณงามความดีไว้เป็นเกราะกำบังให้กับตนเอง หรือที่เรียกว่า สะสมบารมี
  7. จำไว้ว่า ตำรวจหากไม่ใช่ญาติ ไม่ต้องคบหาแบบจริงใจ คบแค่ผ่าน ๆ
  8. ร่วมกันสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในครอบครัวและชุมชนที่อาศัย