หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผ่าโลก "คนจน"


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"คนจน" ทุกท่านคงรู้จักกันดี ผมคงไม่ต้องเขียนนิยามของคนจนมากนัก ดังนั้นขอสรุปสั้น ๆ เอาเลยแล้วกันว่า "คนจนคือคนที่รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ชักหน้าไม่ถึงหลัง จนบางครั้งต้องตั้งงบประมาณแบบเกินดุล เพื่อไปขอกู้จากแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน" คนจนในที่นี้ผมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1. คนจนแต่ขยัน  คนจนประเภทนี้เรียกว่า สู้ชีวิตทุกอย่างที่ถูกกฎหมาย ไม่เกรงกลัวกับความเหนื่อยยากหรือลำบากใด ๆ หาเช้ากินค่ำ อดมื้อกินมื้อ  และถึงแม้ว่าจะเป็นชีวิตที่หาเช้ากินค่ำ  แต่ถ้ากินเหลือหรือเหลือกินก็ยังรู้เก็บหอมรอมริบเอาไว้ สะสมเล็กสะสมน้อย รู้คุณค่าของเงินว่าแต่ละบาทนั้นเหนื่อยยากแค่ไหนกว่าจะได้มา  ถ้าคนจนในประเทศไทยเป็นแบบนี้ทั้งหมด ประเทศไทยก็คงพัฒนาไปไกลตั้งแต่ปีมะโว้แล้วล่ะครับ  
คนจนแต่ขยันนี้นอกจากจะรู้จักอดออมแล้ว  ยังรู้จักทำบุญให้ทาน ทำบุญกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ (คนจนประเภทขยันแต่ไม่รู้จักทำบุญให้ทานเขาจะเรียกว่า "ตระหนี่") เพราะคนจนขยันมีน้ำมนต์อันศักดิ์คอยรดหัวราดตัวตั้งแต่เช้ายันค่ำ นั่นก็คือ "เหงื่อ" นั่นเอง เป็นสิ่งที่ทำให้คนจนที่ขยันสัมผัสได้ถึงแก่นของ "ธรรมะ" อันที่ว่าด้วยการดับทุข์จากความจน  ด้วย "สัมมาอาชีวะ" คือการเลี้ยงชีพชอบ ดังนั้นในโลกของคนจนประเภทขยันจริง ๆ แล้วไม่จนจริง ๆ หรอกครับ หรืออาจกล่าวได้ว่า "จนไม่จริง" ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเขารู้จักคำว่า "พอ" และมีความสมเหตุสมผล มีหลักการในการคิดตัดสินใจ  จะเลือกซื้อสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคแต่ละสิ่งแต่ละชิ้น ก็มีหลักคิดอย่างเป็นระบบว่า อันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ  พูดได้ว่า "คิดแบบแยกแยะด้วยเหตุและผลอย่างมีระบบ" จึงทำให้ชีวิตของคนจนประเภทขยันนี้มีความสุขกายสบายใจ เพราะคนที่ทำงานจนมีเหงื่อไหลทั้งวันสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บ ไม่ค่อยป่วย และอายุยืน นอกจากนี้ก็ยังมีความสุขใจ ไม่วุ่นวายหรือเดือดร้อนมากมายอะไรนัก ที่น่าสังเกตุคือ คนจนประเภทนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้นำแบบเผด็จการ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลิอร์ เพราะคนจนที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการขยันแบบนี้ จะเป็นตัวการสำคัญที่จะรู้(มาก)เท่าทันผู้นำ ซึ่งจะนำมาสู่การต่อต้านผู้นำในที่สุด และในประเทศไทยเราก็ได้เกิดลักษณะอย่างนี้ขึ้นแล้วเกินครึ่งทาง ยังเหลือเพียงแค่(ผู้นำเผด็จการ)ยังไม่มีโอกาสได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
2. คนจนแต่ขี้เกียจ คนเราปกติก่อนที่จะขี้เกียจมักมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความขี้เกียจขึ้น นั่นก็คือ "มีความมักง่าย" กล่าวคือ เห็นแก่ความสุขสบายของตัวเองเป็นที่ตั้ง หากวันไหนต้องเสียเหงื่ออกไปก็ต้องเอาคืนเท่านั้นเท่านี้แบบคนหน้าเลือด หากได้เงินหรือได้กำไรด้วยวิธีไหนที่เร็วที่สุดก็เลือกเอาวิธีนั้นมาใช้สำหรับการแสวงหารายได้ในทันที  ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไร(กู)ไม่สน  สังเกตุดี ๆ ว่า "แม้แต่จะคิดก็ยังขี้เกียจจะคิดเลย" ชอบให้คนอื่นคิดให้เสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกได้ว่า  "มันสมองไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกายกับเขาเลย" และถ้าขี้เกียจคิดแบบนั้นนาน ๆ เข้า มันก็ต้องไม่แคล้วที่จะต้องเป็นอัมพาตสมอง นั่นก็คือ "โง่" ซึ่งรักษาให้หายได้ยากเช่นเดียกับโรคอัมพาตตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  ดังนั้น คุณสมบัติที่สำคัญและเด่นชัดของคนจนประเภทนี้ก็คือ มักง่าย ขี้เกียจ แล้วก็โง่
ชีวิตของคนจนแต่ขี้เกียจในแต่วันมีแต่เรื่องวุ่นวาย เดือดร้อย  หาความสุขได ๆ ได้ยากหรือหาไม่ได้เลยในชีวิต  อันนี้นอกจากจะจนจริง ๆ แล้วยังถือว่า เป็นการจนแบบถาวร อีกต่างหาก ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนของคนจนประเภทนี้เกินครึ่งประเทศแล้ว เพราะเขาจนแบบถาวรมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไงล่ะครับ คือจนอยู่อย่างไรก็จนอยู่อย่างนั้น ส่วนคนจนแบบขยันนั้นส่วนใหญ่ก็ได้กลายไปเป็นคนรวยบ้างหรือกลายไปเป็นคนชั้นกลางบ้างแต่ก็มีจำนวนไม่มาก เพราะคนจนแบบขยันนั้นมันพัฒนาได้  และค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป แต่คนจนแบบถาวรนี่สิ ยากแก่การพัฒนาทั้งชีวิตและจิตใจรวมทั้งสติและความคิด  ซึ่งถ้าจะเรียกว่า "ไพร่" ก็คงไม่ผิด  นอกจากจะยากพัฒนาทั้งชีวิตและจิตใจแล้ว  คนพวกนี้ก็ยังขยายเผ่าพันธ์ได้รวดเร็วอีกต่างหาก เพราะคนจนแบบนี้เช้าก็ออกไปทำงาน ตกเย็นกลับมาบ้านก็เมาเหล้า ค่ำลงก็เข้ามุ้ง(นอน) วัดวาก็ไม่ค่อยได้ไป จึงมีเรี่ยวแรงและเวลาเหลือเฟือสำหรับทำกิจกรรมสืบทอดสายพันธุ์กัน ดังนั้นทุก ๆ 9 เดือนถึงหนึ่งปี ก็มักจะได้ทายาทไว้เลี้ยงดูเป็นทิวแถว ถ้าประเทศไทยมีแต่คนจนแบบนี้ ประเทศไทยก็คงล่มสลายไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วเหมือนกัน หรือไม่ก็คงอีกไม่นานเกินรอ ที่น่าสังเกตุก็คือ คนจนประเภทนี้จะเป็นที่โปรดปรานของเหล่าผู้นำประเทศแบบเผด็จการทั้งสิ้น โดยผู้นำแบบเผด็จการจะส่งเสริมให้คนพวกนี้ดูเหมือนไม่จน(แค่มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเล็กน้อย) แต่จะสนับสนุนให้คนจนประเภทนี้ยังคงเอกลักษณ์ มักง่าย ขี้เกียจ โง่ และจน ให้คงอยู่ต่อไป เพราะพวกผู้นำเผด็จการจะปกครองคนเหล่านี้ได้ง่าย แต่ผลสุดท้าย ประเทศต้องล่มสลายลงเร็วยิ่งขึ้น เพราะความจริงก็คือความจริง ผลของความขี้เกียจอันสาเหตุมาจาก มักง่าย แล้วจึงขี้เกียจ ขี้เกียจนาน ๆ ก็โง่ และท้ายที่สุดคือ จนแบบถาวร ก็คือความจริงเช่นกัน
ถ้าหลายท่านยังจำกันได้หลังจากผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมาปรากฎว่า พรรคประชาธิปัตย์แพ้ต่อพรรคเพื่อไทย  ถัดจากนั้นไม่กี่วันก็มีบล็อกชื่อว่า คนโง่จะครองโลก ซึ่งอยู่ที่ http://p-achblog.exteen.com/20101129/entry ได้ถูกนำมาเผยแพร่โดยเพื่อนบล็อกเกอร์ของเราท่านหนึ่งคือ JohnWay008 (ขออนุญาติที่เอ่ยนาม) ซึ่งอยู่ในเอนทรี http://www.oknation.net/blog/way008/2011/07/06/entry-1 โดยในเอนทรีดังกล่าวนอกจากเราจะได้ขำ ๆ กันแล้ว (ขำกันทั้งที่ยังเช็ดคราบน้ำตาไม่แห้ง) แต่มันก็มีสาระที่แฝงอยู่ และผมก็ได้ตั้งใจว่าจะพยายามเขียนถึงสาเหตุที่แท้จริงในเรื่องนี้สักครั้ง ซึ่งก็คือเอนทรีนี้นี่เอง
จะเห็นว่าคนจนทั้งสองประเภทนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือแตกต่างกันแบบขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้เลยทีเดียว  หากให้คนจนทั้งสองประเภทนี้แยกอยู่กันคนละประเทศก็แล้วไป ประเทศหนึ่งก็จะเจริญ ส่วนอีกประเทศหนึ่งก็ล่มสลายไป แต่ในโลกของความจริง เรามิอาจทำให้เป็นอย่างนั้นได้ คนจนทั้งสองประเภทนี้ยังต้องมาอยู่ร่วมสังคมร่วมประเทศเดียวกัน ก็คงหนีไม่พ้นที่คนจนขยันจะถูกเอารัดเอาเปรียบ จากคนจนขี้เกียจอยู่เป็นประจำ เพราะคนจนประเภทขี้เกียจสนใจเฉพาะตัวเอง  และคนจนประเภทขี้เกียจยังถือว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่า ก็เลยเกิดความกล้า(ที่จะเอาเปรียบผู้อื่น)โดยไม่เกรงกลัวศีลธรรมหรือเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ถ้าตัวเองผิดก็แก้กฎหมายให้ตัวเองถูก  ภายใต้ประชาธิปไตย(ที่พวกเขาเข้าใจว่า "ประชาธิปไตย คือเสียงส่วนใหญ่") ส่วนคนจนประเภทขยัน(หากถูกเอาเปรียบ)ไม่ถึงกับเดือดร้อนอะไรมาก ก็ถือว่าทำบุญทำทานไป อยู่กันแบบหยวน ๆ กันไป  ทีนี้ลองคิดดูเถิดครับว่า คนแม้จะมีธรรมะธรรมโมแต่ถูกเอาเปรียบทุกเช้าค่ำ ทุกวันคืน นาน ๆ เข้า ใครล่ะจะไปทนไหว (บุญก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน) เพราะถือว่าจะขี้เกียจหรือขยันมันก็คือคนเหมือนกัน ในที่สุดอีกฝ่าย(ซึ่งกำลังจะ)หมดความอดทนและจะสู้ทุกอย่างแบบ "หมาจนตรอก" คราวนี้ล่ะ ก่อนที่ประเทศจะล่มสลาย(เพราะตายด้วยกันทั้สองฝ่าย) "สงคราม" ย่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ บังเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินนี้ อันเนื่องมาจาก "ความจน" (จริง ๆ แล้วก็เกิดขึ้นแทบจะทุกวี่ทุกวัน) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะฝืนความจริงประการนี้ไปได้เช่นกัน
วันนี้ประเทศไทยเราล่วงเวลานั้น(เวลาที่เกินความสมดุลระหว่างคนจนทั้งสองประเภท)มานานแล้ว และมาเร็วยิ่งขึ้นเมื่อประมาณปี 2543 ถึงปี 2548 เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาทองของคนจนประเภทขี้เกียจได้ขยายจำนวนสมาชิกด้วยการเจริญสืบพันธุ์ จนเกินความพอดี ทำให้เกิดความต้องการที่สลับซับซ้อนขึ้นในสังคมไทย ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ผู้ทรงศีล ซึ่งก็ยังเกิดอาการลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน (ตามข่าวที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ ) เมื่อพระสงฆ์บกพร่องในส่วนนี้ ก็เท่ากับว่าปราการด่านสุดท้ายของสังคมไทยก็ได้ทลายลง (แม้ว่าปัจจุบันจะยังเหลือพระสงฆ์ที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยอยู่ก็ตาม แต่จัดว่าน้อยเต็มที) ผมเขียนมาถึงตรงนี้ก่อนจะจบในเอนทรีนี้ อยากเรียนถามว่า เราทุกคนต่างก็สงสารคนจนทุกประเภท อยากจะช่วยให้พวกเขารวยกันทุกคน  แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนรวยได้ ซึ่งจะต้องอธิบายให้พวกเขา(คนจน)เข้าใจในแบบธรรมะเท่านั้น คนจนทุกคนถึงจะเข้าใจได้ และไม่ต้องมาแยกไพร่แยกอำมาตย์กัน(เหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา)  ถึงเวลาหรือยังครับ ที่เราต้องถือว่า "ต้องปฏิรูปวิธีการถ่ายทอดธรรมะสู่คนจน" กันสักที และอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น ความเหน็ดเหนื่อยต่าง ๆ    ที่ในหลวงของพวกเราที่พระองค์ทรงตรากตรำมา จะต้องสูญเปล่า ลองช่วยกันคิดดูนะครับ ในเอนทรีต่อไป ผมจะพยายามเขียนในเรื่อง ผ่าโลก "คนรวย" ดูบ้าง(เพราะจริง ๆ ผมไม่ใช่คนรวยอะไร แต่จะพยายาม ดำน้ำ นั่งเทียนเขียนลองดูสักครั้ง) จากนั้นจะรวบรวมทั้งสองเอนทรีไปเขียนเรื่อง ผ่าโลก "ความพอเพียง" และถ้ายังไม่เกินความสามารถเรื่องสูงสุดที่อยากเขียนก็คือ "เมื่อโลกนี้ไม่มีเงิน(ตรา)" ผมจะพยายามเท่าที่ตัวเองจะมีกำลังสติปัญญาหามาให้พี่น้องคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะจนแบบขยันหรือจนแบบขี้เกียจ  รวมไปถึง รวยแล้วพอกับรวยแล้วต้องเอาอีก เผื่อจะได้เรียกใช้บริการบทความเหล่านี้ของผมก่อนจะตายจากกันในภพนี้  และสุดท้ายก็คงต้องลากันในเอนทรีนี้ด้วยเวลาและเนื้อที่เพียงเท่านี้ ค่อยพบกันใหม่ในเอนทรีต่อ ๆ ไปครับ
ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ

แหล่งเดิมที่เคยเผยปพร่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น