หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อย่าไปซีเรียสเรื่อง "นักการเมือง หรือข้าราชการ ทุจริต-คอรัปชั่น" กันให้มากนักเลย แต่ควรหันมาทำความเข้าใจเรื่องจริง ของจริง เรื่องนี้ดีกว่า

ช่วงหลายวันมานี้ ผมเห็นมีแต่เรื่อง วิกฤติน้ำท่วมที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง นักลงทุนจากญี่ปุ่นก็จะถอนตัวไปหาที่ตั้งแหล่งผลิตใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทิ้งปัญหาคนตกงานไว้อีกนับแสนชีวิต  แล้วไหนจะเรื่อง ทุจริต-ฉ้อฉล ของนักการเมือง โดยเฉพาะซีกรัฐบาล ซึ่งเพื่อน ๆ บล็อกเกอร์ในโอเคแห่งนี้ต่างก็แสดงความเป็นห่วงต่อสถานะการณ์บ้านเมืองกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี  แต่ผมอยากให้ปล่อยวางมันบ้างเดี๋ยวมันจะอกแตกตายเสียเปล่า ๆ  หรืออาจกลายเป็นคนวิกลจริตก็เป็นได้  แล้วมาอ่านเรื่องจริงของจริงกับผมดีกว่า เพื่อนผ่อนคลายจากเรื่องร้าย ๆ เหล่านั้น และจะได้วางแผนเตรียมการเตรียมตัวกันแต่เนิ่น ๆ ปล่อยให้พวกเสื้อแดงเป็นไปตามกรรมของพวกเขาเถอะ  เพราะพวกเขาเลือกที่ชอบที่ชอบของเขาแล้ว

เรื่องจริงของจริงของผมก็คือว่า  จริง ๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้  แต่มนุษย์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นผู้ควบคุมกลไกต่าง ๆ ของมันให้ขับเคลื่อและเป็นไปทั้งหมด เช่น โลกหมุนรอบตัวเอง และรอบดวงอาทิตย์ มีมนุษย์หน้าไหนบ้างที่สามารถหยุดโลกไม่ให้หมุนได้บ้าง  ในแต่ละรอบที่โลกหมุนไปก็มีการเปลี่นแปลงเกิดขึ้นบนโลก เช่น มีน้ำขึ้นน้ำลง มืด ค่ำ สว่าง เป็นประจำทุกวันตามที่เราเห็น ๆ กันอยู่  มนุษย์ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้เลย  แต่มนุษย์ชอบทำเป็นเก่งสามารถใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างนั่นสร้างนี่จนล่วงรู้ในสิ่งที่ธรรมชาติห้ามไม่ให้มนุษย์รู้มาช้านาน  เช่น จักรวาล (แต่รู้แค่เศษเสี้ยวของจักรวาล)  รู้รหัส DNA และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง  แต่ที่ยังไม่สามารถรู้ได้ก็อีกเยอะ เช่น วันตายของตัวเอง ตายแล้วไปไหน แบบนี้เป็นต้น สรุปว่า มนุษย์ไม่มีทางที่จะเก่งไปกว่าธรรมชาติได้เลย แต่ดันอุตริ ทำลายธรรมชาติเสียยับเยิน เพื่อเอามาอุปโภค บริโภค แบบไม่รู้คุณค่า จนธรรมชาติเสียสมดุลไปมาก โดยเฉพาะทรัพยากรณ์ตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า แร่ ก๊าซและน้ำมันจากใต้ดิน จุดที่บอกว่าว่ามันเสียสมดุลก็คือจุดที่ "จำนวนผู้บริโภคมีจำนวนมากกว่าจำนวนผู้ถูกบริโภค" ตอนนี้ประชากรกรโลกคงจะเกิน 7 พันล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธรรมชาติจะปรับสมดุลโดยการทำให้สองอย่างนี้อยู่ในสัดส่วนที่พอดีกัน ที่เรากำลังจะได้เห็นก็คือ สังคมก้าวเข้าสู่กลียุคเกิดวิกฤตมากมาย เช่นแย่งชิงของบริโภคอุปโภคกัน ฆ่าฟันกัน จนกลายเป็นสงครามโลก(ครั้งที่ 3) อีกไม่ช้าครับ มันมาแน่ ประชากรโลกจะต้องลดลงเท่านั้น  เพราะทรัพยากรณ์ตามธรรมชาติมันมีเหลือไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ได้ทั้ง 7 พันล้านคนหรอกครับ เพราะมันถูกใช้และถูกทำลายไปเยอะแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะพวกแร่ธาตอย่าง ก๊าซ น้ำมัน ธรรมชาติไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนส่วนที่ถูกทำลายไปได้ในเวลาแค่สิบปียี่สิบปีแต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาเป็นพันเป็นหมื่นปีทีเดียว จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาทรัยากรณ์ตามธรรมชาติมาสนองต่อความต้องการของมนุษย์ 7 พันล้านคนได้   เมื่อมีไม่พอกินพอใช้บางส่วนก็ตายไปเอง บางส่วนก็รบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นสงคราม  ซึ่งสงครามก็จะก่อตัวขึ้นจากสงครามเล็ก ๆ จนพัฒนาไปสู่สงครามโลก(ครั้ง 3) ในท้ายที่สุด   สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติธรรมดา ๆ  และการที่ คนไทยโดยเฉพาะ นักการเมือง หรือข้าราชการ ทุจริต-คอรัปชั่น มันก็เป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้มุ่งไปสู่จุดนั้น เพราะการทุจริต คอรัปชั่นมันก็คือ การแย่งชิงของอุปโภคบริโภค(ทางอ้อม)นั่นเอง

ผมนั่งมองปัญหาน้ำท่วมซึ่งไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร ที่ว่าจบผมหมายถึงน้ำแห้งไม่ท่วมขังอีกต่อไป  สาเหตุที่น้ำไม่ยอมไปไหนสักทีก็เพราะเราไปปิดกั้นทางที่น้ำต้องการจะไปเอาไว้  มันก็เกิดท่วมขังและก็คงจะท่วมอยู่อย่างนั้นไปอีกหลายวัน  แต่ถ้าเราเลิกกั้นขวางทางน้ำผมและทุก ๆ ท่านก็คิดคล้าย ๆ กันก็คือน้ำมันจะไหลไปลงทะเลได้เร็วขึ้นและจะไม่ท่วมขังยาวนานขนาดนี้ มันเลยไม่จบสักที  การทุจริต-คอรัปชันของนักการเมืองตลอดจนข้าราชการก็เหมือนกันครับ  หากเราตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น(กับพวกที่มีสันดานเอาแต่ได้ไม่ยอมเสียชอบเอาเปรียบประชาชนและไม่เคยพอ)มันก็คล้าย ๆ กับที่เราไปปิดกั้นขวางทางน้ำนั่นเอง  การทุจริต-คอรัปชันในเวลานี้ก็เหมือนน้ำเน่าที่ท่วมขังอยู่ในสังคมไทย  มันไปไหนไม่ถูกสักที  แต่...   มันกำลังรอความอดอยากหิวโซของนักการเมืองให้เพิ่มขนาดขึ้นจนถึงขั้นที่มันทนไม่ไหว  เหมือนกับน้ำที่ท่วมขังกำลังรอน้ำที่จะมาเสริมกำลังจากแนวหลังของมัน ถึงเวลานั้น นอกจากแนวกั้นน้ำจะพังแล้วกระแสน้ำอันเชี่ยวกรามันจะถาโถมเข้ามาใส่เราอย่างบ้าคลั่ง และเช่นเดียวกันการทุจริต-คอรัปชันเมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะเข้ามาห้ำหั่นเราจนกว่าเราจะยอมแพ้มันหรือเราอาจจะตายไปเลยก็ได้  ที่เขียนอย่างนี้ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทุก ๆ ท่านหันหลังให้กับการตรวจสอบนักการเมือง  เพียงแต่อยากจะบอกว่าให้ตรวจสอบความไม่ถูกต้องของนัการเมืองไปด้วยในระดับที่พอประมาณเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพิบัติกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็พอแล้ว  ไม่ต้องถึงกับไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเขาหรอกครับ เสียเวลาเปล่า  เพราะงานตรวจสอบและท้าตีท้าต่อยมีคนทำอยู่แล้วนั่นก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมเห็นว่าไม่ค่อยน่ากังวลสักเท่าไร่ เพราะขึ้นชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เขาทำหน้าที่ได้ดีทั้งสองอย่างแบบมืออาชีพอยู่แล้ว (ไม่ทราบว่าผมเชียร์พรรคประชาธิปัตย์จนออกนอกหน้าหรือเปล่า) เพราะฉะนั้นเงินภาษีจากทุกท่านที่เอาไปจ่ายเงินเดือนให้ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ผมว่าไม่เสียเปล่าแน่นอน  แต่ในขณะเดียวกันเราก็ควรเตรียมรับมือกับเรื่องดังกล่าว เมื่อเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิด เพราะเราต้องการให้มันจบเร็วเหมือนกับน้ำที่ท่วมขัง   เพราะจุดจบก็คือจุดที่อยู่หลังจากจุดเริ่มต้น(อาจจะห่างออกไป) โดยจุดจบที่ผมอยากให้จบก็คือจำนวนประชากรทั้งของโลกและของไทยต่างก็ลดลง แต่อยู่บนเงื่อนไขว่า คนดีต้องอยู่ คนชั่วต้องไป  ที่บอกว่าคนชั่วต้องไปเพราะคนชั่วเขาไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวเหมือนพวกเราไงล่ะครับ  คนพวกนี้ผมเอาบทความนี้ไปให้อ่านนอกจากจะไม่เชื่อแล้วยังจะด่าผมกลับมาอีกสิไม่ว่า  เพราะฉะนั้นพวกเขาจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่พวกเขามิได้คาดฝันแน่นอน และที่แล้วร้ายกว่านั้นก็คือ  พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมตัวเตรียมการใด ๆ เอาไว้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องไปตามกฎธรรมชาติ

เรื่องจริงของจริงของผมที่เขียนมาทั้งหมด  อ่านแล้วมันน่ากลัว  ทั้งที่ผมเชิญชวนให้มาอ่านเพื่อความผ่อนคลายแต่เอาเข้าจริงมันกลับกลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก แต่ช้าก่อนครับอย่ากลัวอย่าวิตกไปก่อนเลยครับ  ไหน ๆ ก็ทนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมอยากให้ทนอ่านให้จบก่อนครับ  ไม่ทราบว่ายังจำกันได้ไหมครับว่าประเทศไทยของเรามีของดีอยู่อย่างหนึ่ง  ของดีที่ผมหมายถึงก็คือของดีที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของเรามาช้านาน นั่นก็คือ พุทธศาสนา เพียงแค่เรารักษา ศีล 5 ให้มั่น ไม่เบียดเบียนใคร มีสติ มีปัญญา พร้อมทั้งอบรมสั่งสอนลูกรวมถึงคนในครอบครัวให้ทำตามแล้วเราจะรอดครับ  เมื่อเราเกิดสติเกิดปัญญาแล้วลองวางแผนเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  สมมติว่าหากเกิดเหตุดังกล่าวแล้วเราและครอบครัวจะเอาตัวรอดได้อย่างไร  นั่นคือโจทย์ที่เราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกันมาก่อน  ปีนี้น้ำท่วมใหญ่ ปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อะไร ๆ ต่างก็ไม่แน่นอนล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น  และขอให้คิดเสียว่านี่คือการฝึกตนเองให้เป็นตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งเราไม่ขาดทุนอะไรแต่อย่างใดเลย หากแม้นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมันไม่เกิด  แต่ถ้าเกิดเราจะได้รับอานิสงค์ ถึง 3 เด้งครับ  นั่นคือ เด้งที่หนึ่ง เรารอด เด้งที่สอง เสื้อแดงดับ และเด้งที่สาม แน่ใจได้เลยว่าจะยังมีประเทศไทยอยู่คู่กับโลกใบนี้ไปอีกนาน  และถ้าผมเป็นหนึ่งในผู้ที่รอดผมขอสัญญาว่า ผมจะไม่ยอมให้มีคนแบบทักษิณได้ขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกในช่วงที่ผมยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพราะผมเข็ดแล้วกับตัวปัญหาที่ร้ายกาจแบบนั้น ทีผมเขียมาแบบนี้เพราะผมสังหรณ์ใจครับ เนื่องจากคำทำนายในบทกลอน(ที่อ้างกันว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นผู้เขียน) มันเป็นจริงมาครึ่งทางแล้วครับ และยังเหลืออีกครึ่งทางซึ่งยังไม่เกิด แต่ก็คงไม่น่าจะห่างไกลไปจากเหตุผลต่าง ๆ ที่ผมกล่าวมาในบทความนี้ครับ

จบแล้วครับ เรื่องจริงของจริงของผม หากว่าท่านใดที่อ่านจบแล้วยังรู้สึกหวาดกลัว วิตก หดหู่ ผมขอแนะนำว่าให้ทิ้งคำด่าผม(แบบไม่ต้องเกรงใจ)ให้สมกับที่ผมทำให้ท่านผิดหวังไว้ในคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยครับ ผมยินดีรับฟัง

ในโลกของคนเสื้อแดงมันเป็นโลกที่สวยงามหรือเป็นโลกที่ชั่วช้ากันแน่



ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ผมแค่สงสัยว่า  ในโลกของคนเสื้อแดงมันเป็นโลกที่สวยงามหรือเป็นโลกที่ชั่วช้ากันแน่  เพราะเราต้องไม่ลืมว่าถ้ามันเป็นโลกที่ชั่วช้าแล้วทำไมพวกเขาถึงได้ผู้คนสนับสนุนมากถึง 15 ล้านเสียงล่ะ อันนี้แหละที่มันน่าคิด
เอาล่ะ เราลองไปสำรวจกันดีกว่า อย่าแรกที่เรารับรู้ว่าพวกคนเสื้อแดงมีอุปนิสัยใจคอแบบอันธพาล แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ  ผมตามไปสืบพบในเฟซบุค(http://www.facebook.com/topic.php?uid=108372992525155&topic=9481)ได้ความมาว่า ทัศนคติอย่างหนึ่งของคนเสื้อแดงก็คือ ถ้ารบแล้วต้องชนะ(เท่านั้น) เพราะชัยชนะเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับทุกคน ใครเล่าในโลกนี้ไม่อยากได้ชัยชนะในทุกสมรภูมิ ยิ่งคนเสื้อแดงด้วยแล้วมันคือจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่มาก โดยส่วนมากคนเสื้อแดงจึงไม่สนใจวิธีที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ เช่น ข่มขู่ ทำร้าย คุกคาม ลักไก่ ฉ้อฉล ทุจริต บิดเบือน ไม่ตรงไปตรงมา เรียกว่าสารพัดวิชามารที่นำมาใช้ แต่วิธีการที่เป็นแบบอารยชนทำไมพวกเขาไม่นำมาใช้บ้าง เช่น รู้จักเคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักเคารพกฎหมาย แทนที่จะไปข่มขู่ผู้ไม่เห็นด้วยก็ใช้เหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจกัน เคยสงสัยบ้างไหมครับว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนเสื้อแดงนอกจากต้องการชัยชนะแล้ว  มันต้องเป็นชัยชนะที่ได้มาในเวลาอันรวดเร็วอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะถึงชนะแต่ต้องใช้เวลานานอันนี้พวกเสื้อแดงไม่ค่อยยอมรับจนเกือบจะถือได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้เสียด้วยซ้ำไป เราจึงไม่ค่อยเห็นวิธีการเอาชนะของคนเสื้อแดงแบบอารยชนทั่วไป  ทีนี้ลองหลับตานึกดูว่าถ้าได้รับชัยชนะโดยใช้เวลาเพียงสั้น ๆ มันจะสุขใจขนาดไหน  และเมื่อได้รับชัยชนะมากครั้งเข้า  พวกเขาก็ยิ่งมีความมั่นใจสูงขึ้นไปอีก  โดยเฉพาะพวกแกนนำทั้งหลาย อะไรที่มันผิดก็พูดให้เหล่าสาวกเชื่อได้ว่ามันถูก ในเวลานี้เรียกได้ว่า อะไรผิดอะไรถูกคนเสื้อแดงแยกไม่ออกแล้ว

อย่างที่สองครับ เรื่องความเชื่อและความศัทธาของคนเสื้อแดง  ตามที่เรารับรู้กันก็คือ  พวกเขามีความเชื่อและศัทธาในตัวคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร สูงมาก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็ตอบได้ไม่ยาก  นั่นก็เพราะ ทักษิณ ชินวัตร คือโมเดลของความประสบผลสำเร็จแบบก้าวกระโดดคนหนึ่ง ซึ่งมันไปสอดคล้องกับข้อสงสัยประการแรกนั่นเอง  แรก ๆ ใหม่ ๆ การต่อสู้ของคนเสื้อแดงก็แพ้บ้างชนะบ้าง ที่แพ้ แพ้เพราะคนน้อยครับ  คนสื้อแดงจึงได้สร้างเครือข่ายของตนเองขึ้นมาและมีความเข้มแข็งอยู่ในระดับหนึ่ง โดยมีอุดมการณ์และความเชื่อถือศัทธาต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่เหมือนกันเป็นตัวเชื่อมประสานให้หมู่คนเสื้อแดงอยู่ร่วมกันได้ ขนาดพวกนิยมคอมมิวนิสต์ก็ยังใช้บริการทักษิณโมเดลเพื่อเป้าหมายใหญ่ของพวกเขา เพราะก่อนหน้านั้นพวกนิยมคอมมิวนิสต์เคยพยายามกันมานานแล้วที่จะยึดประเทศไทยแต่ไม่สำเร็จสักที  จึงได้หันมาร่วมมือกับคนเสื้อแดง จนทำให้จำนวนคนเสื้อแดงมีจำนวนเครือข่ายที่กว้างใหญ่ออกไปเรื่อย ๆ  และคาดว่าอีกในไม่นานพวกเขาจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น คนเสื้อแดงคงจะสุขใจเกินกว่าจะบรรยายได้ นั่นคือประเทศไทยเป็นของคนเสื้อแดงโดยสมบูรณ์  ท่าน ๆ ทั้งหลายก็คงเป็นได้แค่ผู้อยู่อาศัยเท่านั้น
อย่างที่สาม เป้าหมายและทิศทางของคนเสื้อแดง ยังมีบางอย่างในประเทศไทยนี้ที่เขารบแล้วไม่ชนะ เช่นคนไทยที่เห็นต่างกับพวกเขาอีก 12 ล้านเสียงซึ่งก็คือพวกท่านทั้งหลายนี่แหละ  จริงอยู่ว่าเขาชนะตอนลงคะแนนเลือกตั้ง แต่เขายังชนะไม่ขาด เพราะสัดส่วน 15 ต่อ 12 มันชนะแบบคาใจ แบบนี้คนเสื้อแดงถือว่าแพ้   และคนเสื้อแดงเป็นพวกที่ไม่ยอมจำนนกับความพ่ายแพ้ทุกรูปแบบ ดังนั้นพวกเขาจำเป็นจะต้องหาวิธีมากำหราบคนส่วนนี้ให้อยู่หมัดให้จงได้ในอีกไม่ช้านี้แน่นอน  เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเล่นแบบขุดรากถอนโคนกันเลยทีเดียว นั่นคือยึดประเทศไทยแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นอันว่าเสร็จโรงเรียนคนเสื้อแดง 12 ล้านเสียงกรุณาทำตัวดี ๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
ทั้งหมดนี้คือโลกที่เกือบจะมองได้ว่าโลกแห่งสีสันต์ของชัยชนะที่มีแต่เรื่องดีใจ สะใจ สมหวังจนหลายท่านอาจจะคิดอิจฉาในความสุขของคนเสื้อแดง จนถึงกับจะขอย้ายสังกัดเลยก็ได้  แต่ขอให้ใคร่ครวญให้ดีก่อนจะย้ายข้าง  เพราะมันเป็นธรรมดาของคนเราเมื่อได้เข็มขัดแชมป์มาถือครองอยู่นาน ๆ ก็มักจะเบื่อและจะหาเป้าหมายใหม่ที่ให้ผลแห่งความชัยชนะที่สูงกว่าเสมอ ไม่งั้นคงต้องอกแตกตาย ซึ่งจะต้องเหนื่อยแทบขาดใจกว่าจะได้ชัยชนะมาในแต่ละครั้ง และที่สำคัญอย่าไปถามหา ความสงบจากวงการคนเสื้อแดงเลยเพราะพวกเขาไม่มี  ก็มันจะหาความสงบได้อย่างไร  ขนาดท่าน ว วชิรเมธี ยังโดนคนเสื้อแดงด่าเสียยับเยิน
ก่อนจากกันในบทความนี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าท่านทั้งหลายคงเข้าใจทัศนคติและพฤติกรรมของคนเสื้อแดงดีแล้วในระดับหนึ่งว่า จริง ๆ แล้วพี่น้องคนเสื้อแดงเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะพวกเขาเปรียบเสมือนว่าเป็นผู้ติดยาสเพติดชนิดหนึ่งเข้าไป  ยาดังกล่าวก็คือ ยาชัยชนะ โดยอาการของผู้เสพยาชนิดนี้ก็คือ กระหายชัยชนะอย่างรุนแรง คลุ้มคลั่งเมื่อขาดยา อาจถึงขั้นเผากรุงเทพฯ ให้มอดไหม้ได้ในชั่วข้ามคืน  แต่ถ้าหากพวกเขาได้รับยาทันเวลาในขนาดที่พอดีกับน้ำหนักตัว ประเทศไทยมีแต่พังกับพังเช่นกัน  สรุปง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือว่า ไม่ว่าคนเสื้อแดงจะอิ่มยาหรือขาดยา ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคนจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ที่นี้ลองทายสิครับว่า คนเสื้อแดงเกลียดอะไรมากที่สุด?