หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำแก้ตัวของ ปตท.


ตามที่ได้มีการเขียนและส่งต่อบทความซึ่งอาจจะสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทย 
และให้ร้ายหน่วยงานรัฐและ ปตท.ที่ได้สร้างความมั่นคงด้านพลังงานตลอดมา ในฐานะผู้บริหาร ปตท.ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 

1.ประเทศไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันเกินความต้องการจริงและส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินเพื่อ 
สร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางวันละ 800,000 บาร์เรล มาเป็นวัตถุดิบในการกลั่น และส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเพียงประมาณวันละ 200,000 บาร์เรล ดังนั้นเรานำเข้าสุทธิประมาณวันละ 600,000 บาร์เรลเพื่อใช้ในประเทศ ผลที่ตามมาคือ 
-ราคาน้ำมันในประเทศจำเป็นต้องอิงราคาตลาดโลก เพราะต้นทุนเราซื้อน้ำมันดิบในราคาตลาดโลก 
-เราควรต้องประหยัดการใช้น้ำมันเพื่อลดภาระการนำเข้าและสูญเสียเงินออกนอกประเทศ ขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราใช้พลังงานต่อประชากรในเกณฑ์สูง 
-มาเลเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซฯ สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล จึงสามารถขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศได้ถูกกว่าไทย 
-สิงคโปร์นำเข้าน้ำมันดิบเช่นกัน และนำมากลั่นเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ สำหรับน้ำมันสำเร็จรูปที่ขายในประเทศจะมีราคาแพงกว่าไทยเพราะเก็บภาษีสูงเพ่อให้เกิดการประหยัด 

2.ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยจะถูกปรับเพื่อให้สะท้อนราคาต้นทุนน้ำมันดิบที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน โดยผู้ขายน้ำมันรับซื้อจากโรงกลั่นและปรับราคาเป็นช่วงๆเพื่อให้ผู้บริโภคไม่ถูกกระทบจากราคาที่ผันผวนจนเกินไป 
-ธุรกิจการกลั่นและธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมีการแข่งขันเสรี มีผู้ประกอบการนอกเหนือจาก ปตท.คือ บริษัทข้ามชาติขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่า ปตท.หลายสิบเท่า 
-ทั้งสองธุรกิจมีวัฏจักรขึ้นลงตามสภาพตลาด และจะมีผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยไม่สูง ทำให้บริษัทข้ามชาติขาดความสนใจที่จะลงทุน และเริ่มทยอยขายกิจการในประเทศต่างๆรวมทั้งประเทศไทยด้วย เช่น Shell ขายโรงกลั่นระยอง บริษัท BP, Q8 และ ConocoPhillips ขายกิจการปั๊มน้ำมัน 
-ดังนั้น ปตท.จึงไม่ได้กำไรมากมายจากการกลั่นและขายน้ำมันตามที่มีการกล่าวหา ในทางตรงกันข้าม ปตท.ได้มีบทบาทสำคัญในการชะลอการขึ้นราคาขายปลีก เพื่อบรรเทาภาระผู้ใช้น้ำมันในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2550-1 

3.ปตท.ไม่เคยทำกำไรสูงถึงระดับ 195,000 ล้านบาทตามที่ถูกกล่าวหา ข้อเท็จจริงคือปี 2550 ปตท.มีกำไรสูงสุดคือประมาณ 97,000 ล้านบาท ปี 2551 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและพลังงานทำให้กำไรลดลงเหลือประมาณ 51,700 ล้านบาท 
-กำไรของ ปตท.มาจากทั้งธุรกิจที่ ปตท.ดำเนินการเองและส่วนแบ่งกำไรของบริษัทที่ ปตท.ลงทุน โดยการถือหุ้นในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจปิโตรเคมี 
-หากมองเฉพาะตัวเลขกำไรจะดูเหมือนว่า ปตท.มีกำไรสูง แต่เมื่อพิจารณาขนาดธุรกิจและภาระการลงทุนทั้งหมด จะเห็นว่าปตท.ได้รับผลตอบแทนการลงทุนในสัดส่วนเพียง 5-10% 
-ปี 2551 ปตท.มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท มีสินทรัพย์รวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท และได้กำไร 51,700 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนกำไรต่อรายได้ (profit margin) เพียง 2.6% และสัดส่วนกำไรต่อสินทรัพย์ (ROA) เพียง 5.2% 

4.โดยข้อเท็จจริง ปตท.มีศักยภาพที่จะทำกำไรได้สูงกว่าผลประกอบการ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่บรรเทาภาระด้านราคาพลังงานให้แก่คนไทย ปตท.จึงรับภาระต่างๆคือ 
-ชะลอการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็น 
-ขายก๊าซหุงต้ม (LPG) ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม ซึ่งต่ำกว่าราคาในตลาดโลก ทั้งที่ต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาผลิตคือก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมีราคาสูงขึ้น 
-ลงทุนขยายกิจการNGV ตามนโยบายรัฐเพื่อเป็นทางเลือกให้กับภาคขนส่งในภาวะน้ำมันแพงปัจจุบันมีสถานีเกือบ 400สถานีทั่วประเทศ 
-ขาย NGV ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม 8.50บาท/กก ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ค่าขนส่งและค่าลงทุนสถานีอุปกรณ์ต่างๆรวมประมาณ 14.50บาท/กก 
-ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนต่างๆเพื่อเตรียมรองรับทิศทางในอนาคตที่จะสามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ 

5.เนื่องจากประเทศไทยจะต้องนำเข้าพลังงานในอนาคตเป็นปริมาณสูง ปตท.มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดหาพลังงานมาตอบสนองความต้องการใช้ให้เพียงพอและในราคาที่เป็นธรรม จึงต้องจัดสรรรายได้เพื่อนำมาลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบท่อก๊าซ คลังน้ำมันและก๊าซ โรงแยกก๊าซ รวมทั้งการเสาะแสวงเป็นเจ้าของปริมาณสำรองและแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซทั้งในและนอกประเทศ โดยในปี 2552 ปตท.ใช้เงินลงทุนรวมมากกว่า 70,000 ล้านบาท 
-หากปตท.นำกำไรมาลดราคาขายปลีกน้ำมัน ก็จะช่วยประชาชนได้ในระยะสั้น แต่จะมีผลเสียระยะยาวคือ จะไม่เกิดสำนึกของการประหยัดและปตท.จะขาดความเข้มแข็งทางการเงินที่จะไปลงทุนเพื่อเสถียรภาพในอนาคต 
-ประเทศอื่นๆที่ต้องนำเข้าพลังงาน จะมีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเขามีความเข้มแข็งและไปลงทุนต่างประเทศเพื่อจะสามารถรักษาประโยชน์ของประเทศได้ในระยะยาว 
-บริษัทน้ำมันแห่งชาติหลายแห่งได้แปรรูปและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความคล่องตัวในการระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ เช่น CNPC CNOOC และ Sinopecของจีน Gazpromของรัสเซีย Petrobrasของบราซิล การแปรรูป ปตท.จึงสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลและน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่จะสร้างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น 
ผมเขียนบทชี้แจงนี้เพื่อที่จะให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทยและบทบาทของ ปตท.ซึ่งมีความสำคัญต่อเสถียรภาพด้านพลังงานของชาติในอนาคต เนื่องจากปตท.ถูกโจมตีในเรื่องต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง 
ผมหวังว่าหากท่านผู้อ่านได้รับข้อมูลครบถ้วนทุกด้าน ก็จะสามารถแยกแยะประเด็นและพิจารณาได้ว่าประเทศไทยและประชาชนไทยควรเตรียมการด้านพลังงานอย่างไร ปตท.เป็นผู้ร้ายจริงหรือไม่ และหากมีข้อเสนอแนะที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือมีข้อสงสัยในประเด็นอื่นๆ กรุณาติดต่อผ่าน website ของ ปตท. <www.pttplc.com> 

เทวินทร์ วงศ์วานิช 
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน 
บมจ.ปตท. 

ถ้าผมบอกว่า "ตัวปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่แท้จริงมาจาก ปตท." คุณจะเชื่อไหม?

"ทุกอย่างในโลกนี้มันมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะค้นหาเจอและเข้าใจมันหรือไม่"




เมื่อพูดถึงเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันประกอบไปด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอที่ติดชายแดนมาเลเซียของจังหวัดสงขลาอันได้แก่ อำเภอจะนะ ำเภอเทพา ำเภอนาทวี และำเภอสะบ้าย้อย (ตามในรูปแผนที่คือพื้นที่สีเหลืองและพื้นที่สีครีม) ทุกคนก็คงต้องนึกถึงแต่ ภาพความรุนแรงที่มีประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้ที่ ทหาร-ตำรวจ บาดเจ็บ ล้มตาย อันมาจากน้ำมือของ โจรใต้ ที่ใครหลายคนเรียก  หรือที่เรียกให้ถูกต้องตามคำของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4  ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.) ก็คือ กลุ่มอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน


ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครที่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า มันเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงข้อสันนิษฐานต่าง ๆ นา ๆ ว่ามาจากสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ (อย่างเช่น เกิดจากความขัดแย้งทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมที่แตกต่างกันบ้าง หรือ ความขัดแย้งจากผลประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหนีภาษีบ้าง เป็นต้น) จนถึงวันนี้เริ่มมีความชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือจาก กอ.รมน. ภาค 4 สน. ซึ่งเป็นหน่วยงานนี้มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ และกำกับดูแลการปฏิบัติของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตรง ทำให้มีข้อมูลในส่วนต่าง ๆ มากพอสำหรับนำมาประมวลหาสาเหตุว่า ความรุนแรง ความไม่สงบ ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากอะไร

ขอท้าวความหลังนิดหนึ่ง เดิมทีพวกกลุ่อุดมการณ์ ฯ นี้ เป็นพี่น้องไทยเชื้อสายมุสลิม ที่มีความรู้สึกว่า ตัวเองและพวกพ้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากทางการ จึงคิดร่วมมือกันเพื่อแสวงหาแนวทางเพื่อแยกยินแดนแถบนี้เป็นรัฐอิสระ เหมือนก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้ข้ออ้างเรื่องศาสนา ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมบางส่วนหลงผิด ด้วยการถูกล้างหัวให้เชื่อด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำการแข็งข้อกับทางการ จนถูกจับกุมดำเนินคดี พอถูกดำเนินคดี ก็ใช้จุดนี้เป็นจุดร่วมในการเพิ่มหรือขยายแนวร่วมทางอุดมการณ์ให้เพิ่มและกว้างออกไป  ใหม่ ๆ กลุ่มอุดมการณ์ ฯ ก็ขอเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง เพื่อเคลื่อนไหวตามอุดมการณ์  แต่ต่อมากลายเป็นว่า นำเงินเหล่านั้นมาก่อความรุนแรงที่มิใช่แนวทางแห่งมุสลิม ประเทศตะวันออกกลางที่เคยให้การสนับสนุนด้านการเงินก็ยุติการสนับสนุนลง แล้วทีนี้คนกลุ่มนี้จะไปพึ่งการเงินจากที่ไหน เพราะการก่อเหตุแต่ละครั้งมันต้องใช้เิงินทั้งนั้น อย่างทำคาร์บอมแต่ละครั้งน่าจะไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อครั้ง สรุปว่าปัญหาของ โจรใต้ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องความต้องการแบ่งแยกดินแดนตามอุดมการณ์แล้วล่ะ แล้วมันคืออะไร?

คำตอบก็คือ เงิน เพื่อเอาใช้ในการดำเนินการก่อความรุนแรง เพราะไหนจะค่าแรง ค่าจ้าง ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ (รถมอเตอร์ไซต์และ รถยนต์) ค่าน้ำมันในการเดินทาง จิปาถะไปหมด มันคงไม่สนุกแน่ถ้าจะบ้าแต่อุดมการณ์แต่ไม่มีเงินมาขับเคลื่อน อุดมการณ์นั้นก็คงไม่มีวันบรรลุผลได้ ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ถึงเนื้อแท้ของปัญหาแบบเจาะลึก ด้วยข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ เพื่อความกระจ่างว่า อะไรคือตัวปัญหาที่แท้จริง



1. อะไรคือสาเหตุหลักของความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
1.1. ข้อมูลดิบจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า  คลิกอ่านรายละเอียด 
ผมไม่สามารถนำรายละเอียดมาเขียนได้ทั้งหมด คงต้องรบกวนท่านผู้อ่านเปิดอ่านรายละเอียดเอง แต่พอสรุปจากรายละเอียดได้ว่า สามสิ่งที่ทำให้กลุ่มอุดมการณ์ฯ ยังคงขับเคลื่อนอุดมการณ์ได้อยู่ก็คือ สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน(หนีภาษี) และยาเสพติด ทั้งสามอย่างล้วนเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งสิ้น ปกติแล้วใครก็ตามที่เข้าไปยุ่งกับของผิดกฎหมายเหล่านี้จะถูกเรียกว่า โจร ซึ่งคือสาเหตุที่ทำให้คนทั่ว ๆ ไป เรียกกลุ่มอุดมการณ์นี้ว่า โจรใต้ ก็น่าจะมาจากสาเหตุนี้

1.2 ข้อยืนยันจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คลิกอ่านรายละเอียด  
ข้อยืนยันนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า  น้ำมันเถื่อน คือของผิดกฎหมายตัวหลักที่เป็นสาเหตุของปัญหาในปัจจุบัน ไม่ใช่ สินค้าหนีภาษี และยาเสพติด (โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงค์ครับ) ในกรณีสินค้าหนีภาษีนั้นคงไม่มีมูลค่ามากมายนัก กลุ่มอุดมการณ์ฯ ก็รู้ดีว่า คงได้เงินไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายก็เลยไม่ยุ่ง ในส่วนของยาเสพติดถ้าจะว่าไปแล้ว ในกลุ่มอุดมการณ์นี้ก็จำเป็นต้องใช้เพื่อเสพด้วยเช่นกัน เพราะในการก่อเหตุแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือวัยรุ่นมันก็ต้องย้อมใจกันหน่อยเพื่อให้ฮึกเหิมก่อนลงมือ ดังนั้นประเด็นเรื่องยาเสพติดก็มีมูลอยู่ด้วย แต่เป็นแค่ผู้เสพเท่านั้นไม่ใช่ผู้ค้า เนื่องจากว่ายังอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้สามารถหาทุนเพื่อเคลื่อนไหวตามอุดมการณ์ได้มากกว่า ซึ่งก็คือน้ำมันเถื่อน และเมื่อเปรียบเทียบโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากโดนจับกุมขึ้นมา ยาเสพติดมีสิทธิ์ถูกประหารชีวิต  แต่น้ำมันเถื่อนแค่ติดคุกไม่กี่ปี ส่วนแบ่งที่ได้อาจน้อยกว่าการค้ายาเสพติดก็ไม่มาก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ค้าน้ำมันเถื่อนคุ้มค่ากว่า จึงกลายเป็นว่าในเวลานี้ กลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนหรือพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเองจำเป็นต้องพึ่งพากลุ่มอุดมการณ์ ฯ พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง ในการทำธุระกิจน้ำมันเถื่อน ไล่กันมาตั้งแต่ รับน้ำมันเถื่อนเข้าเก็บในคลัง คุ้มครองคลังน้ำมัน ลำเลียงน้ำมันไปยังปลายทาง(ลูกค้า) สังเกตุจากรายงานของ กอ.รมน.ภาค.4 บอกว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่รถลำเลียงน้ำมันเถื่อนโดนยึดหรือจับกุม กลุ่มอุดมการณ์ ฯ จะอาละวาดทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนกับกลุ่มอุดมการณ์ ฯ ไม่มีวันที่จะแยกทางกันเป็นอันขาด หากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกอย่างก็เจ๊งกัน จึงต้องอยู่กันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า กลุ่มพ่อค้ายิ่งขายน้ำมันได้มากก็ได้กำไรมาก กลุ่มอุดมการณ์ ฯ ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งจากพ่อค้ามากเช่นกัน ทำให้ธุระกิจน้ำมันเถื่อนยิ่งเจริญเติบโต และน้ำมันเถื่อนจะไม่มีวันหมดไปจากพื้นที่ขัดแย้งนี้แน่นอน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?

1.3 เป้าหมายของทั้งสองกลุ่ม
กลุ่มอุดมการณ์ฯ มีเป้าหมายคือ หาเงินหรือทุนจากการค้าน้ำมันเถื่อนเพื่อเคลื่อนไหวตามอุดมการณ์ดั้งเดิมคือ แบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนมีเป้าหมายคือ ค้าน้ำมันให้ได้ปริมาณมาก ๆ เพื่อจะได้กำไรมาก ๆ การจะขายน้ำมันให้ได้กำไรมาก ๆ มันมีข้อแม้อยู่ว่าต้องขายภายในราชอาจักรไทยเท่านั้น เพราะภายในราชอาณาจักรไทยมีส่วนต่างระหว่าน้ำมันที่ถูกกฎหมายกับมันที่ผิดกฎหมาย(หรือน้ำมันเถื่อน)ต่างกันถึง 10 กว่าบาทต่อลิตรโดยประมาณ แต่ไม่เคยต่ำกว่าลิตรละ 10 บาท  ดังนั้นหากกลุ่มพ่อค้าทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกหน่อยเมื่อกลุ่มอุดมการณ์ได้เงินไปเยอะ ๆ ก็คงบรรลุผลเข้าสักวัน นั่นก็คือพวกเขาสามารถแบ่งแยกดินแดนได้ ทีนี้ล่ะกลุ่มพ่อค้าจะยุ่ง เนื่องจากว่า พอแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระปั๊บ นโยบายเรื่องราคาน้ำมันภายในรัฐอิสระนั้นจะเป็นเหมือนกับราชอาณาจักรไทยหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนรู้เรื่องนี้ดี จึงไม่อยากไปเสี่ยง เลยคิดหาวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มอุดมการณ์ฯ ทำการเคลื่อนไหวจนแบ่งแยกดินแดนได้สำเร็จ ทำให้ดูเหมือนว่า ลึก ๆ แล้วสองกลุ่มนี้จะขัดแย้งกันในเรื่องเป้าหมายของแต่ละกลุ่ม แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่า ในเวลานี้กลุ่มอุดมการณ์ฯ ก็ใหญ่คับพื้นที่แล้ว แค่ชาวบ้านได้ยินชื่อก็กลัวหัวหด รวมไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทุกเหล่าทุกกองด้วย ดังนั้นสู้อยู่แบบนี้มีเงินใช้ และมีอำนาจในพื้นที่ที่ใครๆ ต่างก็ต้องขยาดดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะถ้าแยกดินแดนได้จริง ๆ ขึ้นมา ก็ยังต้องไปทะเลาะกันเองอีกหลายขั้นตอน โดยปกติแล้วการก่อการร้ายทุก ๆ ครั้งทั่วทุกมุมโลก จะมีฝ่ายก่อการออกมาแสดงข้อเรียกร้องต่อทางการในทันทีเมื่อก่อการเสร็จและได้ผลว่า ตัวเองขอเรียกร้องให้ทางการทำอะไรบ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการยุติการก่อการแบบนั้น แต่กลุ่มอุดมการณ์ฯ ของเราไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็เท่ากับว่า พวกเขาหลงติดกับดัก เงินและอำนาจในพื้นที่เข้าแล้ว ทำให้กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเองก็พอใจที่ไม่ต้องแยกดินแดนให้เสียโอกาสสร้างผลกำไร สถานการณ์ปัจจุบันเลยกลายเป็นว่า สร้างสถานการณ์เพื่อข่มขู่ผู้คนชาวบ้านและทางการให้กลัวเพื่อไม่ให้ไปสนใจเรื่องน้ำมันเถื่อน คือเบี่ยงประเด็นเรื่องน้ำมันเถื่อนออกไปเท่านั้นเอง

2. ช่องว่างของปัญหา
2.1 ความเป็นมาเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนในพื้นที่
จริง ๆ ปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนในพื้นที่แห่งนี้มีมานานแล้ว โดยเฉพาะชาวประมงเป็นผู้ใช้น้ำมันเถื่อนกันมานานแล้ว โดยไปซื้อเติมกันกลางทะเล ถ้าเหลือจากที่ใช้ในทะเลแล้วก็นำมาขายเป็นน้ำมันเถื่อนต่อไปอีกทอดหนึ่ง ต้นทุนการออกทะเลหาปลาก็จะถูกลง ชาวประมงในพื้นที่แห่งนี้ก็ได้จะกำไรสูงกว่าชาวประมงในพื้นที่อื่น จนแพปลาบางแพถึงกับดัดแปลงเรือหาปลเพื่อตบตาตำรวจน้ำ  ให้เป็นเรื่อที่ดูภายนอกเหมือนเรือหาปลาแต่ภายในบรรทุกน้ำมันเถื่อนเต็มลำเรือ แล้วนำมาขายที่ฝั่ง เมื่อแพปลาโน้นทำได้แพปลานี้ก็ทำได้ กลายเป็นหลาย ๆ แพปลาช่วยกันทำ เพราะเอาขายเท่าไรก็หมดเท่าไรก็หมด ก็เป็นอะไรที่น่าทำและน่าลงทุน แต่ในหลาย ๆ ครั้งก็มีปัญหาเรื่องตำรวจน้ำเข้มงวดบ้าง ฝนฟ้าอากาศบ้าง ทำให้ต้องออกไปเอาน้ำมันมาทีละเยอะ ๆ ซึ่งก็คงขายไม่หมด จึงต้องหาที่เก็บน้ำมันบนบกเรียกว่า คลังน้ำมัน(เถื่อน) คลังน้ำมันเมื่อตั้งขึ้นมาบนบกแล้วมันคงไม่ดีแน่ เพราะอันตราย จะต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องหาคนมาคุ้มกัน จนกว่าจะลำเลียงไปส่งขายหมด นี่คือลักษณะธุระกิจน้ำมันดั้งเดิม 




2.2 อะไรทำให้นำ้มันเถื่อนขายดี
ราคาน้ำมันภายในประเทศ กับ ราคาน้ำมันเถื่อน ห่างกัน ลิตรละ 10-17 บาท ถามว่าใครบ้างอยากซื้อน้ำมันของ ปตท. ถ้าตัวเองหาน้ำมันเถื่อนเติมรถหรือเรือหรือเครื่องยนต์ใด ๆ ของตนเองได้ นี่คืออุปสงค์น้ำมันเถื่อนมีอยู่เต็มในพื้นที่ จากข้อมูลของ กอ.รมน.ภาค.4 บอกว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดมีรถยนต์และจักรยานยนต์ที่จดเบียนประมาณ 1.2 ล้านคัน และยังมีรถขนส่งสินค้าที่ไปส่งของจากภูมิภาคอื่นเข้าเติมน้ำมันเถื่อนเมื่อต้องไปส่งสินค้าในถึงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย ทำให้พ่อค้าน้ำมันเถื่อน รวย รวย และก็ รวย ลองคิดเล่นว่า ถ้าวันหนึ่งสามารถลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปส่งถึงผู้รับช่วงได้วันละ 100,000 ลิตร พ่อค้าจะได้กำไรกี่บาท คำตอบคือ 1,000,000 บาท/วัน เห็นไหมว่ามันน่าทำแค่ไหน  มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนต้องหยุดชงักลงได้เพียงปัจจัยเดียวคือ ถูกทางการกวาดล้างธุระกิจนี้ ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันก็ไปฮั้วกับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรให้ทำเพิเฉยเมื่อรถส่งน้ำมันผ่านด่าน ไปฮั้วกับกลุ่มอุดมการณ์ฯ เพื่อคุ้มครองการลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปยังที่หมายปลายทาง แล้วแบ่งผลกำไรกัน จะเห็นว่าแทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลยก็ว่าได้



2.3 สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันเถื่อนสูง
ตัวที่ชี้วัดว่า ในพื้นที่มีความต้องการน้ำมันเถื่อนสูงอีกตัวหนึ่งก็คือ ผู้คนชาวบ้านต่าง ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณย่านด่านเข้าเมือง รู้ดีว่าน้ำมันในฝั่งประเทศมาเลเซียถูกกว่าประเทศไทยหลายบาท เลยนิยมนำรถทำทีเป็นนักท่องเที่ยวลอบเข้าไปเติมน้ำมันในฝั่งประเทศมาเลเซีย แล้วกลับมาขับในประเทศไทย เพราะน้ำมันเมื่อมาอยู่ในถังน้ำมันรถยนต์ ไม่มีใครรู้ว่าเถื่อนหรือไม่เถื่อน  และเวลากลับเข้าประเทศตอนผ่านด่านก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วย  ทำให้คนในพื้นที่ดังกล่าวนิยมใช้น้ำมันเถื่อนและน้ำมันประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนมาก ถึงแม้ว่าตรงนี้จะเป็นเพียงแค่กลุ่มคนไม่มาก แต่เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่า ถ้าราคาน้ำมันในประเทศขายในราคาสูงแบบนี้อยู่ พวกเขาก็พร้อมที่จะหันไปใช้น้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านหรือน้ำมันเถื่อนทันที เพราะพวกเขาสามารถหาของเหล่านี้มาทดแทนได้โดยไม่ยากอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงราคาน้ำมันในประเทศกลับมีราคาสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมานานหลายสิบปีแล้ว ทำให้พ่อค้าน้ำมันเถื่อนสามารถพัฒนารถบรรทุกน้ำมันข้ามเขตแดนได้ในเที่ยวละหลายพันลิตร โดยที่ยากต่อการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นแหล่งน้ำมันเถื่อนที่นำเข้ามาขายก็คือ น้ำมันที่ถูกกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ลักลอบนำเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้น้ำมันที่ถูกกฎหมายที่ทาง ปตท. ผลิตมา ขายไม่ค่อยดี  พอขายไม่ค่อยดีก็ทำให้น้ำมันมาค้างอยู่ในคลังน้ำมันสงขลาในปริมาณมากและนานเกินไป ต้องเร่งระบายน้ำมันเหล่านั้นออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่อย่างนั้น ปตท. ได้กำไรน้อยลง



2.4 พบช่องว่าง
มีข้อสังเกตุบางประการเกี่ยวกับ ปตท. ทุกคนคงทราบดีว่า ปตท. ผลิตน้ำมันส่วนหนึ่งเพื่อ ขายในประเทศ(ในราคาสูง) และอีกส่วนหนึ่งขายไปต่างประเทศ(ในราคาต่ำแต่ส่งขายในปริมาณมากๆ) ผลการประกอบการของ ปตท. ในแต่ละปีไม่เคยขาดทุน กลับมีกำไรมหาศาลและเพิ่มขึ้นทุกปี  สมมติว่า ปตท.มีกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อขายสูงสุดทั้งหมดปีนละ 100,000 ล้านลิตร (ย้ำอีกครั้งว่า ข้อมูลนี้เป็นข้อสมมติขึ้นมาเท่านั้น) แบ่งขายในประเทศ 30,000 ล้านลิตรที่ราคาลิตรละ 30 บาท ส่วนที่เหลือแบ่งขายไปต่างประเทศ 70,000 ล้านลิตร ในราคาลิตรละ 20 บาท รวมรายได้จากการขายน้ำมันที่ ปตท. ได้ปีละ  900,000 + 1,400,000 = 2,300,000 ล้านบาท แต่ถ้าน้ำมันภายในประเทศขายไม่ดีเพราะมีน้ำมันเถื่อนทะลักเข้ามา ทำให้ยอดน้ำมันในส่วนที่ขายในประเทศขายได้เพียงแค่ 25,000 ล้านลิตร คงเหลืออยู่ในคลัง 5,000 ล้านลิตร จะทำให้ ปตท. มีรายได้ในปีนั้นแค่ 750,000 + 1,400,000 = 2,150,000 ล้านบาท กับน้ำมันที่เหลือในคลังอีก 5,000 ล้านลิตร ประเด็นก็คือว่า ปตท.จะเอาไงกับ 5,000 ล้านลิตรที่เหลือ? ถ้าเก็บเอาไว้ขายในรอบปีถัดไป แบบนี้ ปตท. กำไรลดแน่ เพราะยอดรายได้ไม่เข้าเป้า มีทางเดียวคือ อย่างไรก็ต้องขาย แล้วขายใครล่ะ ก็ขายไปต่างประเทศสิ ที่ราคาลิตรละ 20 บาท ก็ยังดี เพราะยอดรายได้หดหายไปเพียง 50,000 ล้านบาท  ผมจะไม่ขอกล่าวถึงว่า แล้ว ปตท. จะไปหาเงินในส่วนที่หดหายไปจากไหนมาทดแทน แต่จะขอนำท่านไปสู่ประเด็นที่ว่า แล้วไอ้น้ำมัน 5,000 ล้านลิตรที่ ปตท. ขายออกไปต่างประเทศขายให้ใครและขายอย่างไร ปกติแล้วการซื้อ-ขายน้ำมันระหว่างประเทศต้องทำสัญญาซื้อ-ขายกันล่วงหน้า จะเกิดความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในประเทศลูกค้าแบบกระทันหันได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เช่น เกิดภัยพิบัติหรือภัยจากมนุษย์ที่ทำให้คลังน้ำมันเสียหายเป็นต้น แบบนี้คงต้องขอซื้อน้ำมันมาใช้แบบฉุกเฉิน แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่มีทั่วไป นาน ๆ ถึงจะมีบ้าง  ถ้าเช่นนั้นแล้ว ปตท. ขายน้ำมัน 5,000 ล้านลิตรไปให้ใครกันแน่? และต่อไปนี้คือข้อสันนิษฐานของผม นั่นก็คือว่า  "เป็นไปได้หรือไม่ที่ ปตท. ขายไปให้ต่างประเทศนั่นแหละ แต่ขายให้พ่อค้าน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเอาน้ำมันส่วนนั้นมาขายให้แก่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนไทยอีกทอดหนึ่ง"  ผมก็ไม่ทราบว่าแต่ละท่านจะมีข้อสันนิษฐานที่ใกล้เคียงกับผมหรือไม่ แต่ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า ปตท. มีกำไรเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จะเป็นไปได้หรือที่ผลิตแล้วขายไม่ได้ สิ่งสำคัญอยู่ว่า ขายให้ใคร ตรงนี้คงต้องค้นหาความจริงกันต่อไป

3. ใครได้-เสีย ผลประโยชน์จากช่องว่าง
3.1  ผู้ที่ได้ประโยชน์จากช่องว่าง
คนที่ได้คือ กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กลุ่มอุดมการณ์ฯ  ชาวประมงที่ใช้น้ำมันเถื่อน รถขนส่งสินค้าที่ใช้น้ำมันเถื่อน ชาวบ้านที่เติมน้ำมันรถยนต์ด้วยน้ำมันเถื่อน เรียกว่าได้ประโยชน์กันทั่วหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ ในทางพฤตินัยถือว่าเป็นการสมคมกันเพื่อผลประโยชน์แห่งตนในวงกว้าง โดยมีข้ออ้างว่า น้ำมันในประเทศแพง  แต่น้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านถูกกว่า แล้วจะไปเติมที่แพงกว่าทำไม จะว่าไปมันก็ไม่ดีต่อส่วนรวมประเทศชาติเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในยุคที่มัรัฐบาลที่ทำงานอะไรไม่เป็นเลย ดีแต่กู้ สร้างหนี้ อะไร ๆ มันก็ต้องแพง ทำให้ชาวบ้านที่เขามีทางออกเรื่องลดต้นทุนจำเป็นต้องทำแม้ว่าไม่ถูกกฎหมายก็ตาม คิดง่าย ๆ แค่ออกแรงขับรถข้ามแดนผ่านด่านตรวจไปแล้วเติมให้เต็มถังในราคาลิตรละ 20 บาท แล้วกลับมา หรือไม่ก็ หาเติมน้ำมันเถื่อนในประเทศไทยเอาในราคาลิตรละ 25 บาท ถ้าไม่เอาทั้งสองก็ต้องเรียกว่า "รวยจริง  รักชาติจริง ๆ" นั่นก็คือควักเงินจ่ายเต็มลิตรละ 30 บาทไปเลย

3.2 ผู้ที่สูญเสียประโยชน์จากช่องว่าง
ผู้ที่เสียคือ ประเทศไทยและคนไทยทุกคน เนื่องจากขาดรายได้จากภาษีน้ำมัน ซึ่งจะถูกนำไปเป็นงบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาประเทศในส่วนนี้ต้องลดหายไป ประเทศก็ต้องพัฒนาล่าช้าและยังกลายเป็นเรื่องสองมาตรฐานอีกด้วย กล่าวคือ คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ใช้น้ำมันราคาถูก แต่คนไทยที่อยู่ในภูมิภาคอื่นกลับต้องใช้น้ำมันราคาแพง  ก็เลยกลายเป็นสองมาตรฐาน หากประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นาน ๆ ไป จะทำให้คนไทยทั้งสองส่วนเกลียดชังกัน อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่อไปได้ในอนาคต

3.3 แล้ว ปตท. ได้หรือเสีย
จะว่าไปแล้ว ปตท.ไม่จัดว่าได้หรือเสียอะไร แพงแต่อาจจะได้รายได้รวมต่อปีลดลงไปเล็กน้อย แต่เมื่อประเมินศักยภาพของ ปตท. แล้ว น่าจะหาเงินส่วนที่ขาดหายไปได้โดยไม่ยากเย็นนัก (จากตัวอย่างที่ยกมา เงินที่ ปตท. ขาดหายไปคือ 50,000 ล้านบาท) ยังมีน้ำมันเถื่อนอีกรูปแบบหนึ่ง กล่าวคือ น้ำมันเถื่อนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้  กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนซื้อน้ำมันมาในราคาประเทศเพื่อนบ้าน แล้วขายไปในประเทศในที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันที่ถูกกฎหมายในประเทศ แต่น้ำมันเถื่อนที่กำลังจะบอกก็คือ น้ำมันเถื่อนรูปแบบนี้จะมีขายในภาคใต้ตอนบนทุกจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเล ไล่ลงไปแต่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เรื่อยลงไป โดยน้ำมันเถื่อนรูปแบบนี้ พ่อค้าจะซื้อมาที่ราคาสูงกว่าราคาที่ ปตท. ขายไปให้ต่างประเทศเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณลิตรละ 24 บาท  แล้วพ่อค้าก็นำน้ำมันเถื่อนนี้ไปปนรวมกับน้ำมันถูกกฎหมายในถังน้ำมันของตนเองตามปั๊มน้ำมันต่าง ๆ แล้วก็ขายปลีกเท่ากับราคาในประเทศ ซึ่งพ่อน้ำมันเถื่อนแต่ไม่เถื่อนลักษณะนี้ก็ได้กำไรโขอยู่ทีเดียว การกระทำแบบนี้ คล้าย ๆ กับการเปลี่ยนสัญชาติน้ำมันให้ถูกต้องแล้วขายตามราคาปกตินั่นเอง จึงอดสงสัยไม่ได้อีกเช่นกันว่า ใครเป็นคนขายน้ำมันที่ว่านี้ให้แก่พ่อค้าน้ำมันเถื่อนแต่ไม่เถื่อนพวกนี้

4. บทสรุป
สาเหตุของปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มาจาก ผลประโยชน์ในธุระกิจน้ำมันเถื่อน โดยมีกลไกทางการตลาดของปตท.เข้าไปมีส่วนเเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความตั้งใจของ ปตท. หรือไม่ แต่ปัญหาทั้งหมดสามารถยุติได้ที่ ปตท. และนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล แต่ก็ต้องบอกว่าพูดยาก เพราะระหว่างกำไรที่เห็นเป็นกอบเป็นกำ กับ ความสงบสุขของพี่น้องไทยในพื้นที่ ปตท.จะเลือกสิ่งไหน ในเมื่อ ปตท. ทุกวันนี้คือเครื่องมือทำกำไรของพวกนักลงทุน ไม่ใช่ ปตท. ที่มีเคยสโลแกนว่า "พลังไทย เพื่อไทย" อีกต่อไปแล้ว

ทั้งหมดที่ผมว่ามา ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นจริงหรือไม่  มีวิธีพิสูจน์คือ ประกาศแบ่งแยกดินแดนไปให้กลุ่มอุดมการณ์ ฯ เสียเลย หากไม่มีใครคัดค้านหรือต่อต้าน แสดงว่าสิ่งที่ผมว่ามาผิดทั้งหมด แต่ถ้ามีคนออกมาต่อต้านขัดขวางไม่ยอมให้มีการแบ่งแยกดินแดน(โดยเฉพาะคนในพื้นที่) แสดงว่า สิ่งที่ผมว่ามาถูกทั้งหมด เพราะหากรัฐบาลไทยหรือคนไทยพร้อมใจกันยกดินแดนให้แก่อุดมการณ์ฯ ขึ้นมาจริง ๆ ทั้งกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนและกลุ่มอุดมการณ์ ฯ  ต่างก็เดือดร้อนอย่างทั่วถึง (ตรงนี้หากยังไม่เข้าใจ โปรดอ่านใหม่ซ้ำอีกรอบ) จะพิสูจน์ตามที่ผมพูดก็ได้ ถ้ารัฐบาลไทยและคนไทยใจถึงและกล้าพอ แต่คิดว่าประตูนี้คงไม่เปิด

แต่ถ้าไม่แบ่งแยกดินแดนให้เขา แล้วปัญหามันจะยุิติอย่างไร? ง่าย ๆ เลยครับ ปตท. ลองขายน้ำมันภายในประเทศในราคาเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านดูสิครับ ผมเอาหัวเป็นประกันว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วปัญหาความสงบจะค่อย ๆ ลดลง อยู่ที่ ปตท. จะทำ(เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติ)ได้ไหมล่ะ?

ขอบคุณภาพประกอบบทความทุก ๆ ภาพ จากอินเตอร์เน็ต ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติอ่านบทความ

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทักษิณ VS ธัมมชโย อัตตาในคราบพ่อค้า พบกับ อัตตาในผ้าเหลือง

 เป็นข่าวเกรียวกราวทั่วโลก กับ การไปวัดพระธรรมกาย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวยกย่องวัดพระธรรมกายในความยิ่งใหญ่ของเคหสถาน อันสำเร็จจากการ "บอกบุญโดยไม่จำกัดวิธีการและจำนวน" ทั้งซื้อ เซ้ง เช่า และผ่อนบุญเป็นงวดๆ จน "พระธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดนี้ได้รับฉายา "พุทธพานิช" เป็นองค์แรกของพระสงฆ์ไทย
      พระธัมมชโย หรือหลวงพี่ไชยบูลย์นั้น ยังมีคดีติดตัวอยู่บานเบอะ ทั้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน การรับบริจาค การใช้เงินวัด และที่สำคัญก็คือ คดีทางพระธรรมวินัย ที่วัดพระธรรมกายตีความเสียใหม่ว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" ต่างจากข้อความดั้งเดิมในพระที่ระบุว่า "พระนิพพานเป็นอนัตตา" เรื่องนี้ถามให้ตายก็คงหาคนรู้ยาก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนระดับนักปราชญ์ทะเลาะกัน แต่เป็นเรื่องสำคัญเหมือนหัวใจของพระพุทธศาสนา ต้องแพทย์ระดับรักษาโรคหัวใจเท่านั้นจึงจะวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องว่า สิ่งไหนผิดหรือถูก
      คดีที่พระธัมมชโยถูกฟ้องเกี่ยวกับพระธรรมวินัยนั้น เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2542 เป็นเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กำลังเตรียมตัวขึ้นศาลรัฐธรรมนูญในข้อหา "ซุกหุ้น" ก่อนการกล่าวอมตะวาจาว่า "บกพร่องโดยสุจริต" คราวนั้นนั่นเอง
      เรื่องพระธรรมวินัยในประเด็น "พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" นี้ มีพระมหาเถระนักปราชญ์ไทยเพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9) วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นองค์แรกที่ออกมาชี้ทางสว่างให้แก่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยว่า "กรณีธรรมกายนั้นถึงขั้นขุดรากถอนโคนพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย"หนังสือที่ท่านเขียนชี้แจงนั้นชื่อ กรณีธรรมกาย
       และ พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ รูปนี้เช่นกัน ที่เคยออกหนังสือชื่อ "กรณีสันติอโศก"เมื่อปี พ.ศ.2532 ส่งผลให้พระโพธิรักษ์และคณะสันติอโศกต้องโศกศัลย์ ถูกศาลฎีกาตัดสินให้ "ผิด" ต้องยอมรับสภาพเป็น "นักบวชเถื่อน" ในประเทศไทยมาจวบปัจจุบันวันนี้
       กรณีสันติอโศกนั้น "เล่นง่าย" เพราะ "ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหัวแม่ตีนใคร" แต่กับกรณีธรรมกายนั้น "ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา" ทั้งนี้เพราะ..
     1. พระธัมมชโยนั้นเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจาก "หลวงพ่อสด จันทสโร" เจ้าของวิชชาธรรมกาย ทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นั้นยังดำรงตำแหน่ง "กรรมการมหาเถรสมาคม" โดยตำแหน่ง คือเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลคณะสงฆ์ไทยโดยไม่ต้องเลือกหรือแต่งตั้ง จะเป็นไปกว่าจะมรณภาพโน่นแหละ นอกนั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังเป็น"เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" คุมอำนาจการบริหารและการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในพื้นที่ 16 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และ นครสวรรค์ ที่สำคัญ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ยังดำรงตำแหน่ง"แม่กองบาลีสนามหลวง" ซึ่งคุมการศึกษาในภาคภาษาบาลีอันเป็นภาษาดั้งเดิมในพระไตรปิฎกที่คณะสงฆ์ไทยใช้มาแต่สมัยเริ่มแรกอีกด้วย
      2. ธัมมชโยมีเส้นสายใยโยงถึงคณะกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป รวมทั้งเจ้าคณะผู้ปกครองของคณะสงฆ์ไทยในระดับล่างอีกด้วย โดยได้นิมนต์พระมหาเถระเหล่านั้นไป "ฉัน" และ "รับซอง" ที่วัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่องนานหลายปี อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 ซึ่งเกิดกรณีสันติอโศกขึ้นมา อันเป็นกรณีศึกษาสำคัญให้วัดพระธรรมกายปรับเปลี่ยนนโยบาย "หันหน้าเข้าหาคณะสงฆ์ไทย" โดยการนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ไปเยี่ยมวัด พร้อมทั้งจัดการศึกษาภาษาบาลีสนองงานคณะสงฆ์ เพื่อตบตาให้เห็นว่า "เป็นเด็กดี" ก่อนจะใช้เท้าขยี้พระไตรปิฎกในอีกหลายปีต่อมา โดยที่พระผู้ใหญ่เหล่านั้นได้แต่มองตาปริบๆ เพราะความง่วงที่เพิ่งไปฉันกลับมาจากวัดพระธรรมกายจนเต็มทั้งย่ามทั้งพุง
      กรณีธรรมกายกับกรณีสันติอโศกนั้น "คล้ายกัน" แต่ "ต่างกันในวิธีการสร้างตัวเอง"
       ที่ว่า "คล้ายกัน" นั้นคือว่า โพธิรักษ์กับธัมมชโยนั้น บวชเมื่อแก่แล้ว ไม่ร่ำไม่เรียนตามหลักสูตรของคณะสงฆ์ไทย แต่คิดว่า "ตัวกูแน่" เพราะจบปริญญามา จึงขนเอาตำราพระไตรปิฎกมากางอ่าน แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามความรู้ความเข้าใจของตนเอง (วิธีเช่นนี้มีหลายคนที่จบปริญญาทางโลกก็เคยทำและกำลังทำอยู่) คนโง่ได้ฟังก็อัศจรรย์ใจว่าเป็น "อัจฉริยภาพ" แต่นักปราชญ์ได้ยินก็นึกว่าคนบ้าพูด ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นเจ้าสำนักใหญ่เสียเอง ผลของการ "ไม่เรียน แต่อวดตรัสรู้" ของเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสองก็ออกมาเป็นภูเขาไฟระเบิดสร้างความเสื่อมเสียให้แก่คณะสงฆ์ไทยอย่าง "ประวัติศาสตร์ต้องจารึก" ดังที่ทราบ
      ประเด็นหลักที่ทั้งสองออกมาอวดอุตริมนุสธรรม "เพราะอ้างว่ารู้ได้ด้วยญาณ" ก็คือ โพธิรักษ์นั้นอวดว่า "ตนเองได้บรรลุธรรมแล้ว อย่างน้อยก็โสดาบัน" ส่วนธัมมชโยนั้นระบุว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา อันเป็นความรู้จากการบรรลุธรรมในสายวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ"
     ที่ว่า "ต่างกัน" นั้นคือ สันติอโศกนั้น โพธิรักษ์มีบุคลิกลักษณะเป็นคนโผงผาง เปรียบนักมวยก็เป็นมวยไฟรท์เตอร์ ทะลุดุดัน นิยมเทศน์ด่าคณะสงฆ์แล้วยกก้นตนเองไปในตัว เรียกว่าไม่มีน้ำหวานให้กันซักหยด แถมโพธิรักษ์ยังใช้วิธี "แบ่งแยกแล้วปกครอง" คือแยกตัวเองออกไปตั้งสำนักใหม่ คืนใบสุทธิ ประกาศอิสรภาพจากคณะสงฆ์ไทย ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ "ไม่มีครูบาอาจารย์หรือกัลยาณมิตรผู้มีอำนาจในมหาเถรสมาคม" ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องขึ้น คณะสงฆ์ไทยอันประกอบด้วย มหานิกายและธรรมยุติ จึงสนธิ (แปลว่าบวก) กำลังกันเข้ารุมสะกรัมสันติอโศกจนสะบักสะบอมตรอมใจโดยไม่ต้องรอลงอาญา
       ขณะที่ธัมมชโยนั้น บุคลิกลักษณะเป็นคนสุภาพ โยมจ๊ะโยมจ๋า อ้อนญาติโยมได้เด็ดกว่า "ไชยา มิตรชัย"อ้อนแม่ยกลิเกเสียอีก ที่สำคัญก็คือ พี่แกใช้ยุทธวิธี "กล่อมแล้วกลืน" ส่งคนเข้าประกบพระเถระในสายการปกครอง พร้อมกับสร้างสำนักวัดพระธรรมกายให้ "ใหญ่สุด" ก่อนจะประกาศว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา"ในเวลาต่อมา ถ้าไม่มี "พระพรหมคุณาภรณ์" เป็นก้างขวางคอ ป่านนี้รับรองว่า "ทฤษฎีของธัมมชโย" ติดหราอยู่ใน "พระไตรปิฎกฉบับวัดพระธรรมกาย" ไปแล้ว !
       แต่ไม่ว่า "บุคคลิก" ของทั้งสองจะต่างกันอย่างไร สุดท้ายไม้สำคัญที่ทั้งสองเจ้าสำนักนำมาใช้ต่อต้าน "พระพรหมคุณาภรณ์" ก็คือ ด่าและโกหก !
     โพธิรักษ์นั้น ก่อนพระพรหมคุณาภรณ์ท่านจะออกหนังสือ "กรณีสันติอโศก" ก็ทำตัวเป็น "ศิษย์น้อง"ของพระคุณท่าน เขียนจดหมายไปกราบเรียน ฝากเนื้อฝากตัว ขอคำปรึกษาหารือ เรียนพระพรหมคุณาภรณ์ว่า"ท่านภันเต" ซึ่งเป็นการยกย่องอย่างสูง ก็คนอย่างโพธิรักษ์นั้นเคยยกยอใครที่ไหนนอกจากตนเอง ครั้นพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ออกหนังสือ "กรณีสันติอโศก" ให้อ่าน โพธิรักษ์ก็อาจหาญทำการลบหลู่คุณท่านว่า "หนังสือใครก็เขียนได้ แต่สร้างคนดีได้หรือเปล่าล่ะ" เห็นไหมว่า การเข้าไปอ่อนน้อมแต่ก่อนมานั้น หาใช่นิสัยใจจริงของโพธิรักษ์ไม่ หากแต่แท้ที่จริงแล้วก็คือ การประจบประแจงนักปราชญ์ โดยหวังว่า วันหนึ่งข้างหน้า ถ้ามีความผิดพลาดเกี่ยวกับการสอนพระธรรมวินัยของตนเอง นักปราชญ์ คือพระพรหมคุณาภรณ์ จะทำใจอ่อน ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง อย่างมากก็คงแค่ "มองตาปริบๆ" เหมือนสมเด็จวัดปากน้ำและพระผู้ใหญ่หลายรูปมองธัมมชโยอยู่ในเวลานี้
      แต่โพธิรักษ์คาดผิด เพราะพระพรหมคุณาภรณ์นั้นท่าน "เถรตรง" มิได้เห็นแก่อามิสสินจ้างลาภยศสรรเสริญและคำเยินยอใดๆ เห็นแก่ก็แต่สิ่งเดียวคือ "พระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง" ท่านจึงต้องวินิจฉัยให้สังคมทราบว่า ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ถ้าอยากเป็นคนถูกก็ง่ายๆ แค่สอนให้ถูก ปฏิบัติให้ตรง ก็เท่านั้น นั่นคือความซื่อสัตย์ซื่อตรง มิใช่ใช้วิธีการประจบเพื่อจะทำเรื่องผิดให้ถูกดังที่โพธิรักษ์กำลังทำอยู่
นั่นก็พฤติกรรมของ โพธิรักษ์ !
      ส่วน "ธัมมชโย" นั้นขี้อาย ไม่นิยมออกนอกหน้า (เว้นแต่เวลารับโยม) จึงให้ลูกศิษย์ลูกหาออกมาเป็น"มวยแทน" ทั้งเขียนด่าและหาเหตุเลสอ้างว่า "พระพรหมคุณาภรณ์คือกระบวนการของคริสต์ศาสนาเข้าบ่อนทำลายคณะสงฆ์ไทย" เรียกว่า เป็นการใช้ข้อหา "บ่อนทำลายพระธรรมวินัย" ยอกย้อนกลับไปให้พระพรหมคุณาภรณ์ได้รับระดับเดียวกันกับที่นักการเมืองกำลังฟ้องกันนัวเนียอยู่ทุกวันนี้แหละ แยบยลมิใช่เบาเลย สมแล้วที่หมุนเงินเก่งเป็นหมื่นล้านสร้างพระเจดีย์ได้ยิ่งใหญ่ระดับโลก จนทักษิณเอ่ยปากชมเปาะ
      แต่คนระดับมีปัญญาและคุณธรรม เมื่อมองดูพฤติกรรมของทั้งสองเจ้าสำนักเหล่านี้แล้ว ก็รู้สึกสมเพชสังเวชใจ ในขณะที่พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านออกหนังสือชี้แจงแสดงเหตุผลกลไก อ้างทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา ติดชื่อเสียงเรียงนาม อย่างชัดเจน วิธีการอันประเสริฐซึ่งควรจะได้รับการตอบสนองจากทั้งสอง คือ โพธิรักษ์และธัมมชโย ก็คือ "เขียนหนังสือขึ้นมาตอบโต้แก้ข้อกล่าวหา โดยอย่าลืมใส่ชื่อของตนเองไว้ที่หน้าซองหรือท้ายเล่ม ส่งให้ศาลสงฆ์ไปอ่านเพื่อตัดสินว่า ใครผิดใครถูก"นั่นจึงจะถูกต้อง
แต่ทั้งสองมิได้ใช้วิธีนี้ อันเป็นวิธีของนักการศึกษาและปัญญาชน เขากระทำกัน
        ทว่า ทั้งสองกลับใช้วิธีการ "ลอบกัด" ให้คนเขียนด่าท่าน ขุดค้นประวัติส่วนตัว ใส่ร้ายป้ายสี ที่มีว่าไม่มี ที่ไม่มีว่ามี แถมยังใช้ "นามแฝง" ในหนังสือเหล่านั้นอีก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบว่า "นายด๊อกเตอร์เบญจ์ บาระกุล เป็นใคร และไปซุกหัวอยู่ไหน" ??
       หมาลอบกัด ยังนับว่า ประเสริฐกว่าการใช้วิธีการเช่นนี้ มิต้องนับว่าจะมีฐานะพิเศษพิโสเป็นเจ้าสำนักใหญ่โตระดับโลกดังที่ทักษิณเยินยอต่อหน้าหรือไม่ !
        ใครที่ใช้วิธีการเช่นนี้ ขอชี้ว่า ถ้าไม่เป็น "ตุ๊ด" ก็ต้องเป็น "กระเทย" เท่านั้น !


วัดขุมกำลังระหว่างสันติอโศกกับธรรมกาย
ฝ่ายสันติอโศก
หัวหน้าฝ่ายสมณะ : นายรักษ์ รักพงษ์ อายุ 72 (เกิดเดือนมิถุนายน 2477) เคยเป็นผู้จัดรายการทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม เป็นนักแต่งเพลง
เคยบวชพระ : 7 พฤศจิกายน 2513  ได้ฉายา (นามสกุลของพระ) กลฺยาโณ
หัวหน้าฝ่ายฆราวาส : พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
มูลนิธิ : กองทัพธรรมมูลนิธิ โรงเรียนผู้นำ กาญจนบุรี
ทรัพย์สิน : มหาศาล ทั้งพุทธสถานและสาขา รวมทั้งเงินในมูลนิธิ
บุคคลากร : คณะญาติธรรม
หนังสือ : แสงสูญ สารอโศก ดอกหญ้า
สำนักงานใหญ่ : สันติอโศก 65/1 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
                      (ก่อตั้ง 7 สิงหาคม 2519)
หลักการเผยแพร่ลัทธิ : บุญนิยม
ต้องคดีทางสงฆ์ : พ.ศ.2532 คดี "บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย และทำพระธรรมวินัยให้วิปริต"  ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้โพธิรักษ์สิ้นสุดสถานภาพพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จึงเปลี่ยนสีจีวรและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สมณะ
สถานภาพปัจจุบัน : นักบวชนอกคณะสงฆ์ไทย คดีนี้ศาลอาญาตัดสินเด็ดขาด ให้พระรักษ์พ้นจากสมณะเพศ ตามคำสั่งของมหาเถรสมาคม วันที่ 16 มิถุนายน 2532

ฝ่ายธรรมกาย
หัวหน้าฝ่ายสมณะ : พระไชยบูลย์ สุทธิผล อายุ 62 ปี (เกิด 22 เมษายน 2487) จบการศึกษามัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บวชพระ : 2512 ณ วัดปากน้ำ มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายา ธมฺมชโย สมณศักดิ์ที่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์
หัวหน้าฝ่ายฆราวาส : นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮาส์ นายผ่อง เล่งอี้ รักษาการสมาชิกวุฒิสภา นายวีระศักดิ์  ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
มูลนิธิ : มูลนิธิธรรมกาย
ทรัพย์สิน : มหาศาล ทั้งวัดในประเทศไทยและต่างประเทศ มีดาวเทียมเป็นช่องของตนเอง
บุคคลากร : คณะกัลยาณมิตร
หนังสือ : กัลยาณมิตร อยู่ในบุญ ตะวันธรรม
สำนักงานใหญ่ : วัดพระธรรมกาย ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
                       (ก่อตั้ง 20 กุมภาพันธ์ 2513)
หลักการเผยแพร่ลัทธิ : บุญนิยม
ต้องคดีทางสงฆ์ : เข้าสู่กระบวนการนิคหกรรมของศาลสงฆ์ มีพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 1 วัดพิชยญาติการาม เป็นหัวหน้าผู้พิจารณาคดี ในปี พ.ศ.2542
สถานภาพปัจจุบัน : จำเลยในคดี "สร้างสัทธรรมปฏิรูป หรือพระธรรมวินัยเทียม" คดียังไม่สิ้นสุด
ต้องคดีทางโลก : 1 ) เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 2 ) เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 3 ) ผู้ใช้แจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความที่เป็นเท็จ ในเอกสารหรือหนังสือของทางราชการ ปัจจุบันนี้คดียังไม่สิ้นสุด
     ตามประวัติของเจ้าสำนักสองท่านที่นำเสนอนี้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งคู่ต่างเป็นคน "มีแผล" ด้วยกัน ต่างกันก็แต่เพียงว่า "โพธิรักษ์" นั้นเป็น "แผลตาย" รักษายังไงก็ไม่หาย เพราะคณะสงฆ์ไทยได้ประกาศขับไล่ออกนอกวัดไปแล้ว จึงไม่มีทางอื่นนอกจากผ่าตัดทางการเมืองเรื่อง "แก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ให้มีคณะสงฆ์ไทยคณะใหม่ได้" เท่านั้น ส่วน "ธัมมชโย" นั้นเป็นแผลเป็น แม้บาดแผลจะใหญ่และเรื้อรังปานใด ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับโพธิรักษ์ ทั้งนี้เพราะอยู่ใกล้ชิดหมอ คือกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป ทั้งยังใกล้โรงพยาบาลด้วยการส่งคนไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นทั้ง ส.ส. และ ส.ว. แถมยังมีทุนรักษาแผลอีกไม่อั้น เชื่อมั่นว่า ถ้าทักษิณรับปากช่วย บาดแผลของธัมมชโยก็คงหาย


ความเกี่ยวพันในทางการเมือง
      ผู้คนทั่วไปคงเข้าใจเพียงว่า วัดพระธรรมกายและสำนักสันติอโศกนั้น เป็นเพียงวัดหรือพุทธสถาน มีงานบุญเป็นหลักเหมือนกับวัดทั่วๆ ไป แต่แท้ที่จริงแล้ว สองสำนักนี้มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในทางการเมืองอย่างชัดเจน เพื่อนำเอาอำนาจทางการเมืองนั้นมาเป็นเครื่องมือค้ำจุนสถานภาพของตัวเอง หรือเอาไว้คอยปกป้องตนเอง จากการกระทำผิดทางพระธรรมวินัยหรืออื่นใดในทางโลก เพราะการสร้างอาณาจักรพุทธของตนเองนั้น หมิ่นเหม่ต่อการต้องคดีทั้งทางโลกและทางธรรม
      สำนักสันติอโศกนั้น ประกาศชัดเจนว่า "เป็นผู้สนับสนุนในการตั้งพรรคพลังธรรม ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2531" ทั้งชื่อพรรคว่า "พลังธรรม" นั้น โพธิรักษ์ก็ประกาศชัดถ้อยชัดคำว่า "ตนเองเป็นผู้คิด" ซึ่งพรรคนี้ ภายหลัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ผ่องถ่ายตำแหน่งหัวหน้าพรรคให้แก่อภิมหาเศรษฐีที่ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
      ส่วนธรรมกายนั้นยังไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนเอง แต่ก็มีข่าวว่า ศิษย์เอกของสำนักนี้มีตำแหน่งในทางการเมืองอันสำคัญยิ่งยวด คือ นายผ่อง เล่งอี้ เป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม อันคุมนโยบายสำคัญเกี่ยวกับศาสนาในประเทศไทยอีกด้วย อีกคนหนึ่งคือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าพ่อวงการรถยนต์ไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลทักษิณหลายสมัย

ความเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
      พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัวเพราะการเชื้อเชิญของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในปี พ.ศ.2538 ก่อนจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคนี้ในเวลาต่อมา และเมื่อเห็นว่าไปไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออกมาตั้งพรรคไทยรักไทยเป็นของตัวเอง ในปี พ.ศ.2541 ก่อนจะบรรลุจุดสุดยอดในทางการเมือง คว้าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาครองในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544
        และว่ากันว่า ขณะตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมานั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ยังเป็นตัวหนุนช่วยเหลือทักษิณอย่างแข็งขัน
       พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งมี "พ่อท่านโพธิรักษ์" อยู่เบื้องหลัง ได้ตัดสินใจ "แตกหัก" กับทักษิณ ในกรณีพิพาทเรื่อง "เบียร์ช้าง" ที่รัฐบาลจะให้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ สุดท้าย สันติอโศกใช้ข้อหา "บกพร่องทางจริยธรรมกรณีขายหุ้น 73,000 ล้าน" นำหน้า นำพลพรรคสมณะและญาติธรรมเข้าร่วมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 บีบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องยอมประกาศ "ยุบสภา" แถมด้วยการ "ขอพักทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ในวันที่ 4 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา
      ความเป็นจริงแล้ว ในการประท้วงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของเบียร์ช้างนั้น แต่แรกเราก็จะเห็นภาพของการประสานมือระหว่าง "สันติอโศก" กับ "ธรรมกาย" โดยธรรมกายได้ระดมพระภิกษุสามเณรและกัลยาณมิตรไปร่วมกับสมณะและญาติธรรมของสันติอโศกที่หน้าตลาดหุ้นด้วย ทั้งนี้ วัดพระธรรมกายมีนโยบาย"เทเหล้า-เผาบุหรี่" เมื่อมีการชูประเด็น "ต่อต้านเบียร์" จึงเข้าร่วมอย่างเต็มตัว แต่ด้วยมิได้ระแวงว่าจะถูกสันติอโศกนำเอาเรื่องนี้ไปต่อรองผลประโยชน์ในทางการเมือง (หรืออาจจะต่อรองด้วยกัน แต่เมื่อเห็นว่าถ้าใช้วิธีนี้คงจะบี้ทักษิณยาก) ธรรมกายจึงออกลายค่อยๆ คลายสัมพันธ์สันติอโศก สุดท้ายก็โดดเดี่ยวสันติอโศกให้เข้าต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเต็มตัว จนทักษิณกับจำลองไม่เผาผีกันแน่แล้วในชาตินี้
      การจัดโต๊ะชุมนุมเพื่อ "เจริญพุทธมนต์ ความสวัสดีแก่ปวงชนชาวไทย" ที่ท้องสนามหลวง ในตอนเย็น วันที่ 25 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่ามีการจัดระเบียบเรียบร้อยของโต๊ะเก้าอี้ไว้ดีมาก จนกระทั่งนายเปลว สีเงิน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้ระบุออกมาว่า "เป็นฝีมือการจัดของคณะกัลยาณมิตร วัดพระธรรมกาย"
      นั่นคือหลักฐานที่บ่งชัดว่า "บัดนี้ หลวงพี่ธัมมชโยย้ายหน้าตักมาแทงข้างทักษิณอย่างเต็มตัวแล้ว"ซึ่งก็หมายถึงว่า ธัมมชโยตัดเยื่อไม่เหลือใยในโพธิรักษ์อย่างเด็ดขาดแล้วด้วย
       แต่นั่นยังไม่ถึงเวลาที่ "เจ้าบ่าว" คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางไปหา "เจ้าสาว" คือธัมมชโย ถึงวัดพระธรรมกาย แต่ในใจของทักษิณแล้ว จะกระวนกระวายทุรนทุรายอย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ
      สถานภาพระหว่าง โพธิรักษ์-ทักษิณ-ธัมมชโย ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องในครอบครัวแล้ว ก็อาจจะมองได้ดังนี้
      โพธิรักษ์นั้นเคยแต่งงานอยู่กินกับทักษิณมาเนิ่นนาน แต่วันนี้ทั้งสองประกาศ "หย่าขาด" กันเด็ดขาดแล้ว สมบัติที่เคยมี ไม่ว่าจะเป็นถ้วยรามชามไหไปยันสากกระเบือ อะไรๆ ก็แบ่งกันไปหมดแล้ว ไม่มีไมตรีจิตในฐานะคนเคยรักกันอีกต่อไป สถานภาพที่เหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือ "คู่แค้น" เท่านั้น (สถานภาพนี้รวมทั้งหลวงตามหาบัว แห่งวัดป่าบ้านตาด ก็ตกหัวอกเดียวกันกับโพธิรักษ์ด้วย)
     ส่วนธัมมชโยนั้น เป็น "คู่รัก" คนใหม่ของทักษิณ แม้ว่าจะเคยหลงทางไปนิดๆ กับกรณี "เบียร์ช้าง" แต่ก็ชั่งเถอะนั่นมันอดีต เรื่องปัจจุบันสำคัญกว่า ความเอื้ออาทรที่ธัมมชโยมีให้ทักษิณนั้นดูจะอบอุ่น คือนอกจากจะ"ไม่ขับไม่ไล่" แล้ว ยัง "ส่งเสริม" เก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้แน่นหนาเป็นตราช้างอย่างไม่ลับ คือว่าออกนอกหน้า กระดี้กระด้าอยากได้ทักษิณมาเป็นคู่รักเสียเต็มประดา ธรรมกายจึงยินยอมเปิดสภาธรรมกายสากลจัดประชุม "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี" บังหน้า เพื่อหาที่ยืนให้ทักษิณได้พูดหาเสียงในวงล้อมของกัลยาณมิตร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา งานนี้แหละที่ว่ากันว่า คือ "งานแต่งระหว่างทักษิณกับธัมมชโย" อย่างเป็นทางการ ! โดยมีแขกเหรื่อร่วมเป็นสักขีพยานจากทั่วประเทศรวมแล้วร่วม 100,000 คน !


      โพธิรักษ์นั้น บวชได้ไม่กี่วันก็ร้อนวิชา นอกจากจะไม่ศึกษาร่ำเรียนแล้ว ยังอุตริขึ้นธรรมาสน์เทศน์ เมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ตักเตือนก็ทนไม่ได้ ถึงกับขอ "ลาออก" แล้วไปบวชใหม่ บวชแล้วก็ไม่อยู่ถือนิสัยหรือศึกษาร่ำเรียนอะไร ออกไปตั้งสำนักอยู่เอง เทศน์ชี้บ๊งชี้เบ๊ จนได้คนโง่กลุ่มใหญ่ๆ ไปเป็นบริวาร ก็ดำรงวิถีชีวิตแบบเดียวกัน คือ ไม่เรียน แต่จะสอน
นับเป็นอัตตาในรูปแบบหนึ่ง
      ธัมมชโยนั้น ก็ฉันเดียวกัน คือไม่เรียน แต่ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ อาศัยที่ว่าได้จุดขายดี เป็นวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสด จึงปั่นหุ้นได้นับหมื่นล้าน แล้วก็ออกลายขายวิชชาว่าด้วย "พระนิพพานเป็นอัตตา"
นี่ก็เป็นอัตตาในอีกรูปแบบหนึ่ง !
     รวมไปถึง "อัตตา" อันเป็นอุปนิสัยของคนทั้งสองที่ "เถียงไม่ได้" หรือ "เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่"อันตรงกับนิสัย "เผด็จการ" ของผู้นำไทยในวันนี้ วันที่ดาวดังทั้งสองโคจรมาเจอกัน ณ ลานวัดพระธรรมกาย

     เราลองไปดู "อัตตา" ของ "ทักษิณ" เปรียบเทียบกับท่าน "ธัมมชโย" บ้างเป็นไร ว่าไฉไลระดับไหน ?

ธัมมชโย
       เพราะเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสบอกเรื่องทางอภิปรัชญาไว้อย่างละเอียด เพียงแต่บอกเป็นนัยให้ทราบเท่านั้น ความเห็นความเข้าใจในเรื่องทางอภิปรัชญานี้จึงมีความหลากหลายมาก สรุปยุติลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยาก ถ้าใครยืนกรานความเห็นในความเห็นหนึ่งว่าถูกต้องเด็ดขาด และปฏิเสธความเห็นอื่นทั้งหมดว่าผิด เป็นสัทธรรมปฏิรูป ทำลายพระพุทธศาสนา ต้องขจัดให้หมดไป พระพุทธศาสนาคงจะเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งและความแตกแยกระส่ำระสาย..
เอกสารวัดพระธรรมกาย
เรื่องพระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา พ.ศ.2542
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

     ท่านตุลาการที่เคารพเอง ก็ได้เคยถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยสัจวาจาทำนองเดียวกันว่า จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ผมและท่านตุลาการจึงมีพันธกิจเดียวกันครับ แต่ผมจะมีโอกาสได้ใช้ความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่น อุดมการณ์ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ เวลาและความคิด ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป ตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ และตามที่พี่น้องประชาชนมอบความไว้วางใจหรือไม่นั้น
     มาถึงบัดนี้ก็สุดแล้วแต่ดุลพินิจที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่า จะเชื่อคำยืนยันด้วยเกียรติยศของผมว่า ผมไม่มีเจตนาปกปิด เป็นเพียงความบกพร่องที่สุจริต และอยู่ที่ดุลพินิจของท่านตุลาการ ที่จะให้โอกาสนายกรัฐมนตรีคนนี้ทำงานเพื่อชาติ ประชาชน พระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งต่อไปหรือไม่ เพียงใดครับ ขอขอบคุณครับ...
คำแถลงแก้ข้อกล่าวหา "ซุกหุ้น" ต่อศาลรัฐธรรมนูญ18 มิถุนายน 2544



       การไปวัดพระธรรมกาย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในครั้งนี้ จึงเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากมาย โดยเฉพาะสายตาของ "ราชบัณฑิต" ที่ชื่อ "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" อดีตสามเณรนาคหลวง ผู้เรียนจบ ป.ธ.9 เป็นสามเณรองค์ในรัชกาลที่ 9 ท่านกล่าวไว้ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 กรกฎาคม 2549  ในชื่อคอลัมน์  "รำลึกถึงมหาแสง มนวิทูร" ไว้อย่างสะเด็ดว่า "คนดีเป็นที่ปรากฏในสังคมในด้านความรู้ความประพฤติ ใครๆ ก็อยากจะนับญาติด้วย เป็นธรรมดา เพราะทั้งคนถูกยกย่องและคนที่ยกย่องมีแนวโน้มอุปนิสัยใกล้เคียงกัน ย่อมยกย่องกัน นี่เป็นธรรมดา พระพุทธองค์ตรัสว่า คนที่มีธาตุเหมือน ก็ย่อมไหลไปหากัน เป็นธรรมดา พ่อค้าขายหุ้นก็ย่อมไหลไปหาพ่อค้าขายบุญประมาณนั้น นี่ก็เป็นของธรรมดา.."
 
      ธัมมชโยนั้นเป็นพระร่ำรวยเงินทองล้นวัด สร้างอะไรก็ใหญ่โต เหมาะเจาะกับความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ร่ำรวยและชอบเมกะโปรเจ็ค แต่การไปวัดพระธรรมกายของทักษิณในครั้งนี้ จะมีผลต่อรูปคดีที่ธัมมชโยกำลังถูกเดินเนินอยู่หรือไม่ ? ไม่มีใครตอบแทนได้ นอกจากคุณทักษิณเอง
       ทักษิณนั้นท่องคาถาประจำใจอยู่สองอย่าง คือ คะแนนเสียงและทุน
     เมื่อพระธัมมชโยมีทั้งคะแนนเสียงเป็นสาวกนับแสนๆ ทั้งทรัพย์สินเป็นที่ดินวัดนับพันๆ ไร่ มีสาขาทั้งในและต่างประเทศอีกนับน้อย มีดาวเทียมส่งสัญญาณเป็นการส่วนตัว มีมหาวิทยาลัยเป็นของตนเอง การก่อสร้างมูลค่ามหาศาลนับหมื่นนับแสนล้าน อันเป็นทุนที่ใหญ่สุดเท่าที่วัดไทยเคยมีมาในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา 2549 ปี ธัมมชโยจึงมีทั้ง "ทุน" และ "บุญ" อันสามารถแปรเปลี่ยนเป็น "คะแนนเสียง" ให้พรรคไทยรักไทยได้
     วันนี้สองผู้ยิ่งใหญ่ในทางธรรมและทางโลก คือ ธัมมชโย กับ ทักษิณ ชินวัตร ก็โคจรมาพบกันแล้ว อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นอะไรที่การันตีได้ว่า ถ้าทักษิณยังได้รับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป คดีธรรมกายก็จะจบเร็วและแฮปปี้เอ็นดิ้ง และวัดพระธรรมกายก็จะเป็นอมตะอย่างแท้จริง สมกับคำว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" ก็อยู่ที่ว่าคณะกัลยาณมิตรจะทุ่มจิตทุ่มใจช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้ง 15 ตุลา 2549 นี้หรือเปล่า เท่านั้นเอง
     เพียงแต่ท่านธัมมชโยมิต้องนึกดอกว่า ก่อนหน้าจะมาเป็น "ทักษิณ" ในวันนี้ เคยมีใครเป็นบันไดให้เขามาบ้าง นับจาก หลวงตามหาบัว โพธิรักษ์ จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุน เสนาะ เทียนทอง ฯลฯ เพราะถ้าไล่ประวัติของทักษิณบนเส้นทางการเมืองผ่านพี่เลี้ยงดังกล่าวนามมาแล้ว ก็เกรงแต่ว่าธัมมชโยจะคิดหนัก ก่อนจะแลกหนัก แต่ก็ธรรมดาว่า เมื่อไม่มีทางอื่นให้เลือก และมีทางนี้ที่ดีกว่า เหตุไฉนธัมมชโยจะปล่อยให้โอกาสทองผ่านมือไปเสียเล่า ก็เขาเป็นนักเก็งกำไรมือทองระดับท็อบไฟว์อยู่แล้วนี่ ก็ทักษิณเอ่ยปากชมแล้วมิใช่หรือ ว่า "สร้างวัดได้สุดยอด"
      ไม่แน่นะ อัตตาเจออัตตา อัดกันไปอัดกันมา อาจจะกลายเป็น "อนัตตา" ก็เป็นได้
ขออย่างเดียว อย่าให้เป็น "ฝกตกขี้หมูไหล ฯลฯ" ก็แล้วกัน !
เอ้า ! เหล่ากัลยาณมิตร เทคะแนน !   
     
พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในบริบท อุดมการณ์เพื่อแสวงหาอำนาจรัฐ




ถ้าคนทุกคนในประเทศต่างก็ต้องการมีอำนาจรัฐอยู่ในกำมือ ก็คงแย่งชิงกันวุ่นวายไปเสียหมด ดังนั้นแนวทางตามหลักประชาธิปไตยแบบสากลก็เลยให้จัดกลุ่มบุคคลที่แนวคิด อุดมการณ์ที่สอดค้องกันไปรวมตัวกันจัดตั้งเป็น พรรคการเมือง เพื่อเป็นตัวแทนและกลไกของระบอบในการแสวงหาอำนาจรัฐอีกทอดหนึ่ง 

การแสวงหาอำนาจรัฐก็ใช้วิธี การตัดสินของประชาชนทั้งประเทศว่า จะมอบหมายอำนาจรัฐซึ่งเป็นของประชาชนเองให้แก่พรรคการเมืองใด ผ่านทางการเลือกตั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งได้สรุปว่าใครได้เสียงมากกว่าผู้นั้นก็จะได้สิทธิรับอำนาจรัฐไป แต่อยู่ดี ๆ แล้วประชาชนจะมอบอำนาจรัฐไปให้พรรคการเมืองใดพรรคกรเมืองหนึ่งเฉย ๆ คงไม่ได้ มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ประชาชนได้พิจารณาว่าควรจะมอบอำนาจรัฐให้แก่พรรคการเมืองใด นั่นคือ นโยบายของพรรคการเมือง ที่มาจากอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละพรรค

ต่อไปนี้จะพูดถึงเฉพาะอุดมการณ์ทางเมืองของพรรคการเมืองไทย(โดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดความขัดแย้งในการแสวงหาอำนาจรัฐ

พรรคสังกัดทักษิณ (ปัจจุบันคือพรรคเพื่อไทย) มีอุดมการณ์ทางการเมืองคือ บริหาร-แก้ปัญหาประเทศในเวลารวดเร็ว ยืดหยุ่นจนถึงขั้นไม่ยึดถือตามหลักการ(นิติรัฐ-นิติธรรม) เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาในแต่ละเรื่องโดยใช้เวลาน้อยที่สุด เมื่อไม่ยึดถือเรื่องนิติรัฐ-นิติธรรม กฎหมายบ้านเมืองก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้คนชอบละเมิดกฎหมาย พอกฎหมายใดไม่เอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกตน ก็ทำการแก้ไขเพื่อให้การละเมิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย แต่กฎหมายทุกฉบับจะถูกประกาศใช้โดยมีการลงพระปรมาภิไธยจากในหลวงเสียก่อน ทำให้มองว่าพรรคสังกัดทักษิณไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์

พรรคประชาธิปัตย์ มีอุดมการณ์ทางการเมืองคือ บริหาร-แก้ปัญหาประเทศมองผลในระยะยาวเพื่ออนาคตที่ดีกว่า และยึดมั่นต่อหลักการ(นิติรัฐ-นิติธรรม) และยึดถือแนวทางตามพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ ใครทำผิดกฎหมายก็ถูกลงโทษตามตัวกฎหมายไม่มีข้อยกเว้นและไม่ต้องแก้กฎหมายให้ใครพ้นผิด คนที่ถูกลงโทษตามกฎหมายส่วนใหญ่จึงไม่ชอบอุดมการณ์แบบนี้ จึงหันไปพึ่งอุดมการณ์ที่ต่างจากประชาธิปัตย์ เพราะจะช่วยให้ตัวเองพ้นผิดได้ จึงไม่ควรแปลกใจว่าทำไม นับวับมีคนให้การสนับสนุนพรรคสังกัดทักษิณมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบก้าวกระโดด แต่คะแนเสียงของพรรคประธิปัตย์เองก็มิได้หมายความจะลดหรือหดหายไป เพียงแต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นครั้งละนิดหน่อยไม่เกิน 10% พรรคการเมืองเล็ก ๆ อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ 2 พรรคนี้ค่อย ๆ เล็กลงตามสัดส่วน(ถ้าประเทศยังมีการปกครองในระบอบนี้ต่อไปอีกหน่อยก็คงสูญพันธุ์) 

ยังมีคนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ทางการเมืองของทั้ง 2 พรรคการเมืองนี้อยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะพูดว่า เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของพรรคสังกัดทักษิณครึ่งหนึ่งแต่อีกครึ่งหนึ่งไม่เห็นด้วย และชอบอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคสังกัดทักษิณ เช่น ชอบวิธีการบริหารแบบรวดเร็วโดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักการของพรรคสังกัดทักษิณ แต่ไม่ชอบพรรคสังกัดทักษิณตรงที่ไม่ให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ตรงที่ บริหารงานช้าเพราะมุ่งเน้นเรื่องหลักการ แต่ชอบอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้เคยให้การสนับสนุนพรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรคมาแล้ว พรรคละครั้ง แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ดั่งใจคนกลุ่มนี้ แถมยังผิดใจกันจนแทบมองกันไม่ได้มาแล้ว  คนกลุ่มนี้จึงพยายามจะสร้างอุดมการณ์ของตัวเองเป็นจุดขายเพื่อนำไปแข่งกับ 2 พรรคใหญ่ข้างบน เพื่อแสวงหาอำนาจรัฐกับเขาเช่นกัน  แต่ในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้

มีพระบรมราโชวาทของในหลวงอยู่ครั้งหนึ่งที่ทรงพระราชทานว่า

“...ในการพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือ ความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อน  ด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง    แต่ถูกต้องตามหลักวิชา  เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอสมควรแล้ว  จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับต่อไป
...การถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นไปตามลำดับด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์...”

ผมขออนุญาติทุกท่านสรุปพระบรมราโชวาทที่อันเชิญมานี้ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าและที่จะนำไปดำเนินต่อในบทความนี้ต่อไปดังนี้ครับ

"ในการพัฒนาทุก ๆ อย่าง ต้องค่อย ๆ ทำ เพื่อความมั่นคงยั่งยืนและเป็นเครื่องการันตีว่าสิ่งที่กำลังพัฒนาอยู่นั้นต้องสำเร็จแน่ ๆ ต้องใจเย็นและอดทน"

จะว่าไปแล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่น่าสงสาร เพราะอุดมการณ์ที่ให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์นี่แหละ จะเห็นได้ในหลายเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์มุ่งคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศในระยะยาว เช่น ด้านการเกษตรกรรม ด้านการปฏิรูปที่ดินเพื่อสร้างความเสมอภาค ด้านความมีวินัยทางการเงินการคลังของคนในชาติ ทำให้ผลสัมฤทธิ์มักไปปรากฎในช่วงรัฐบาลหลังเป็นประจำ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในรอบถัดไปอยู่เสมอ

ถามว่าคนกลุ่มหลังนี้เขารังเกียจอะไรพรรคประชาธิปัตย์หรือครับ ทั้งที่แท้จริงแล้ว อุดมการณ์ของพวกเขาไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ตามแนวทางในพระบรมราโชวาททั้งในชาตินี้และชาติไหน กลับสอดคล้องกับพรรคประชาธิปัติย์อย่างชัดเจน แล้วทำไม ทำไมยังไปหลงชอบอะไรที่มันสำเร็จในเวลาที่รวดเร็วแต่ไร้ประสิทธิภาพแล้วมานั่งด่าคนที่ทำอย่างที่เห็นกันอยู่ เขาทำเพื่ออะไร บ้าหรือเปล่า?

คำตอบก็คือ พวกเขาไม่ได้บ้า แต่รายละเอียดของคำตอบที่แท้จริงอยู่ในบทความก่อนหน้านี้ครับ เชิญทุกท่านค้นหาคำตอบเหล่านั้นจากบทความดังกล่าวได้เลยครับ