หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สองขั้วความคิด คือเหตุที่ทำให้ไทยวิกฤติอยู่ในทุกวันนี้

ขอเล่าย้อนถึงภูมิหลังที่มาของ  วิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้  ซึ่งเกิดขึ้นจากความขัดแย้งในสังคมไทย ดังนี้

เดิมทีประเทศไทยเราโดยเฉพาะบรรพบุรุษของเรา มีเพียงอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก  ด้วยเหตุว่า เมืองไทยในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่คนไทยที่มีฐานะในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย ชอบส่งบุตร-ธิดาไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เริ่มปรากฎชัดขึ้น เมื่อบุตรหลานเหล่านั้นส่วนหนึ่งไปยึดติดกับวัฒนธรรมฝรั่งอย่างงมงาย เช่น เสรีภาพด้านต่าง ๆ โดยไม่ทำการดัดแปลงให้เข้าสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมเดิมของตนเอง เมื่อลูกหลานไทยเหล่านั้นกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อประกอบอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปรับราชการ หนุ่มสาวไทยเหล่านั้นก็ได้ขยายอิทธิความคิดความเชื่อเหล่านั้นเข้าสู่สมองของคนไทยส่วนอื่น ๆ  จนอาชีพดั้งเดิมที่เป็นเกษตรกรรมค่อยหายไป และมีอาชีพใหม่เริ่มปรากฎขึ้นคือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ  อาชีพอุตสาหกรรมส่วนใหญ่แล้วจะต้องพึ่งกลไกการค้ากับต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยเกิดการเชื่อมโยงกับต่างประเทศมากขึ้น เรียกว่า เปิดประเทศ(เกือบเสรี) จนในที่สุดประเทศไทยได้เปิดเสรีด้านการค้าและลงทุนมากขึ้นในสมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยนโยบาย แปลงสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้พวกฝรั่งต่างชาติเริ่มนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากมาลงทุนแล้วก็เข้ามาท่องเที่ยว บางส่วนก็เห็นว่าเมืองไทยน่าลงทุนด้านนั้นด้านนี้ ก็คิดลงหลักปักฐานในเมืองไทย โดยหาภรรยาเป็นคนไทย เพื่อใช้เป็นนอมินีในการทำธุรกรรมด้านต่างๆ เพื่อหลีกหนีข้อกฎหมายไทย จนในเวลานี้กลายเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิงไทยคือ  มีสามีเป็นฝรั่ง เพราะฝรั่งมีเงิน ตัวเองก็ได้สบาย แต่อีกด้านหนึ่งคือ เมื่อฝรั่งมาอยู่เมืองไทยแล้วก็ทำการสร้างนั้่นสร้างนี่ บุรุกโน่นบุรุกนี่ เพื่อจับจองเป็นเจ้าของ  หรืออาจถึงขั้นทำลาย โดยมีคนไทยคอยรับใช้พวกต่างชาติในขั้นตอนบุรุกหรือทำลาย ซึ่งจัดว่า เป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรกับธรรมชาติเอาเสียเลย จนตอนนี้พื้นที่ริมทะเลเกือบทั้งหมดเป็นของฝรั่งหมดแล้ว (ภูเก็ต เกาะสมุย เกาะพะงัน) อีกหน่อยลูกหลานไทยจะไม่มีที่อยู่ที่ยืนกัน คนไทยที่ชอบเงินฝรั่งต่างชาติก็ให้การช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะตัวเองได้ประโยชน์ จะถูกจะผิดไม่เกี่ยวขอให้ได้เงินหรือผลประโยชน์ตัวอื่นเป็นพอ จะเห็นได้ว่าชุดความคิดที่ต้องการพัฒนาประเทศโดยยึดวิธีการค้าขายตามหลักทุนนิยมที่กล่าวมานั้น น่าจะกลายเป็นการทำลายประเทศในท้ายที่สุดเสียมากกว่า(พัฒนา) เพราะใช้ความอยากเป็นหลักกระตุ้นและนำทาง คนไทยกลุ่มนี้อยากจะเรียกว่า "กลุ่มหัวก้าวหน้า"

ข้อดีประการหนึ่งสำหรับแนวคิดการพัฒนาประเทศด้วยหลักทุนนิยมคือ บรรลุผลสำเร็วได้เร็ว แต่มันมีข้อเสียก็คือว่า ไม่มีความมั่นคงในระยะยาวและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งมันก็เป็นหลักธรรมดาตามที่ทราบกัน อะไรที่ทำเสร็จเร็วมักไม่ค่อยได้คุณภาพ แต่อะไรที่ค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ประดิษฐ์ จะออกมาสวยสดงดงามเสมอ

ในขณะอีกด้านหนึ่งของสังคมไทย มีคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่มีความสุขอยู่กับการทำเกษตรก็มีความคิดความเชื่อว่า คนกับธรรมชาติต้องอยู่แบบพึ่งพากัน คนไทยที่ยังยึดอาชีพนี้ ส่วนใหญ่จะยึดติดกับหลักจารีตประเพณีดั้งเดิมเอาไว้ เราจะเรียกคนไทยกลุ่มนี้ว่า "กลุ่มหัวอนุรักษ์" คนไทยกลุ่มนี้มีความภาคภูมิใจกับชาติกำเนิดของตัวเองและบรรพบุรุษ ธำรงรักษาไว้ซึ่งมรดกต่าง ๆ จากบรรพบุรุษได้เป็นอย่างดี เช่น พระพุทธศาสนา  คนไทยส่วนนี้เชื่อว่า เราสามารถพัฒนาประเทศได้ แต่ต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป และต้องเป็นการพัฒนาที่ยั่่งยืน ไม่ฉาบฉวย มีธรรมะเป็นหลักนำทาง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ

จะเห็นได้ว่าสองขั้วความคิดนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลุ่มหนึ่งต้องการความสำเร็วแบบรวดเร็ว อีกกลุ่มค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปไม่ต้องรีบ เพราะรีบแล้วพังมันไม่คุ้ม จนความขัดแย้งนี้ได้พัฒนามาถึงจุดที่เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันอีกต่อไป เพราะฝ่ายหนึ่งต้องการทำลายเพื่อสร้างกำไรในด้านการค้า แต่อีกฝ่ายต้องการจะรักษาไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน และนับจากนี้ไป สงครามประชาชนก็จะเริ่มต้นขึ้น โดยมีสาเหตุจากความคิดสองแนวทางที่ขัดแย้งกันทางสังคมและเศรษฐกิจตามที่กล่าวมา คือระหว่างกลุ่มหัวก้าวหน้ากับกลุ่มหัวอนุรักษ์  แต่ใช้ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองมาบังหน้า ตามในภาพสามารถอธิบายได้ดังนี้



ความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากคนไทย 3 กลุ่มมีความขัดแย้งกัน กลุ่มคนไทยทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนิยมทักษิณ กลุ่มต่อต้านทักษิณ และกลุ่มรอแทงกั๊ก (เอาไว้วันหลังจะเขียนอธิบายเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองใหม่อีกที) เมื่อมองสภาพสังคมไทยในเวลานี้จากทั้งสองมิตินี้(มิติความขัดแย้งทางสังคมและเศรษฐกิจ กับ มิติความขัดแย้งทางการเมือง) เราจะสโคปได้ชัดว่า กลุ่มนิยมทักษิณคือกลุ่มหัวก้าวหน้า และกลุ่มต่อต้านทักษิณคือกลุ่มหัวอนุรักษ์ ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ มันก็สูสี ดูไม่ออกว่าฝ่ายไหนจะชนะ แต่ต้องไม่ลืมว่า ยังมีกลุ่มคนไทยที่มีความขัดแย้งทางการเมืองอีกกลุ่มนั่นก็คือ กลุ่มรอแทงกั๊ก กลุ่มนี้เป็นพวก อะไรก็ได้ ที่กลุ่มตัวเองได้ประโยชน์ก็สมยอมได้หมด แม้พยายามจะสร้างภาพว่า เป็นพวกมีหลักการหรือมีแนวทางเป็นของตัวเองแต่เนื้อในแล้วไม่ใช่ ในวันนี้กลุ่มนี้จึงมีบทบาทเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากตัดสินเลือกแนวทางไหน แนวทางนั้นก็จะชนะทันที

ถามว่ากลุ่มรอแทงกั๊ก ไม่มีแนวทางเป็นของตัวเองเลยหรือ ตอบว่า มี แนวทางของเขาคือ กลุ่มไหนให้ประโยชน์แก่เขา เขาก็เลือกแนวทางนั้นอีกที ผมก็เลยตั้งชื่อว่ากลุ่มรอแทงกั๊ก ซึ่งน่าจะเหมาะสมที่สุด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ กลุ่มนี้คิดนอกกรอบจนตกขอบ เช่น อยากได้การเมืองใหม่ที่เป็นการเมืองน้ำดีซึ่งมันไม่มีในชาตินี้และชาติไหน เพ้อเจ้ออยู่ในโลกอุดมคติของตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยมีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้บนเวที(แต่ถ้าข้างเวทีมีเยอะ) พอไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำเป็นวางท่าอยู่เฉย ๆ แต่สายตากำลังสอดส่องหาโอกาสและพร้อมที่จะฉกฉวยอยู่ตลอดเวลา ทางออกของประเทศไทยจึงรำไร เพราะไม่รู้ว่าแนวคิดไหนจะเป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากต้องมารอการตัดสินใจของอีกกลุ่มว่าจะเอาอย่างไร มันเหมือนกับกลุ่มรอแทงกั๊กสีเหลืองข้างล่าง เป็นผู้หญิงที่รักผู้ชายสองคนคือสีสีม่วงกับสีเขียวข้างบน แล้วก็ลังเลใจเลือกไม่ถูกว่าจะเอาคนไหน ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คือ นิยายรักสามเส้า ที่ใครหลายคนบอกว่า "น้ำเน่า" ซึ่งสังคมไทยตอนนี้มันก็เน่าจริง ๆ ด้วยเหตุประการฉะนี้ แต่จุดจบของนิยายน้ำน่าประเภทรักสามเส้า  มักจบไม่ค่อยสวยเสมอ ดังนั้นทางออกจากความขัดแย้งในสังคมไทย ก็จะจบแบบไม่สวยเช่นกัน โปรดติดตามอย่ากระพริบตา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น