หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ภัยพิบัติตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ?



ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต
พอดีว่าวันนี้ผมพอจะเวลานิดหน่อย เลยได้เข้ามาอ่านบทความของใครต่อของใครเข้า มีทั้งที่ถูกใจและมีทั้งที่ขัดใจ(แต่ขี้เกียจพูดถึง)  เอาเป็นว่าผมจะพูดงเฉพาะที่ถูกใจก็แล้วกันครับ  หนึ่งในนั้นก็คือเอนทรี ทองคำ ดำมุดหนีพวกโลภมาก..เชพรอน สูบน้ำมันไม่ได้ตามที่สำรวจในอ่าวไทย ของบล็อกเกอร์ ปัจเจกตน ซึ่งในเอนทรีดังล่าวผมได้เขียนคอมเมนต์ทิ้งท้ายเอาไว้ ก็เลยคิดเสียดายว่า นาน ๆ ตัวเองจะเขียนคอมเมนต์ได้เข้าทาสักที ก็เลยขอเอามาเขียนเป็นเอนทรีใหม่เสียกว่า ขออนุญาติท่านบล็อกเกอร์ ปัจเจกตน ด้วยนะครับ

จากชื่อเรื่องที่ผมตั้งเอาไว้ จริง ๆ ผมเคยเขียนมาหลายบทความแล้วแต่ไม่เคยลงลึกสักที วันนี้จะเอาเวลาที่มีเพียงน้อยนิดมาอธิบายใหม่ให้ลึกกว่าเดิม เพื่อให้ใคร ๆ ที่ได้อ่านล้วก็น่าจะเข้าใจ(ได้ไม่ยาก) ทั้งนี้ทั้งนั้นขอเรียนกันก่อนว่า ผมไม่ใช่นักพิภพวิทยา หรือ นักปฐพีศาสตร์ เพียงแต่พอจะจะมีความรู้เรื่องเทอร์โมไดมานิกส์(Therodynamics) อยูบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยเล่าเรียนมา เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย ผมจะเริ่มอธิบายเพื่อประกอบคำเฉลยว่า ตัวการสุดท้ายที่ทำให้โลกเราได้เป็นอยู่อย่างนี้ คือใครกันแน่ ?
ปัจจุบันนี้โลกของเรากำลังสูญเสียความสมดุลอย่างหนัก โดยเฉพาะใต้พื้นดินที่เราเหยียบอยู่ อันเนื่องมาจาก

1. ความร้อนจากแกนโลก(Maxma) โดยธรรมชาติของความร้อนมันจะต้องระบายจากจุดที่อุณหภูมิสูงไปยังจุดที่มีอุหภูมิต่ำกว่าเสมอ นั่นก็คือความร้อนเหล่านั้นจะแพร่ขึ้นสู่ผิวโลก

2. หากเป็นไปตามข้อ 1. มนุษย์จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่ผิวโลกได้เลย เพราะจะมีอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นโลกจึงได้เอาน้ำที่เป็นของเหลวอันได้แก่ น้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำมัน และนอกจากของเหลวแล้วก็ยังไม่พอ โลกยังได้เอาลมที่เป็นก๊าซมาขัดขวางความร้อนจากข้อ 1. เอาไว้อีกด้วย เพื่อช่วยกันขัดขวางความร้อนโดยไม่ยอมให้ความร้อนดังกล่าวขึ้นไปถึงผิวดินได้

3. พอน้ำมันและก๊าซถูกมนุษย์ขุดเจาะขึ้นมาใช้มากขึ้น ๆ ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ทั้งน้ำมันและก๊าซหายไปจากโลกใต้ดินทิ้งเหลือไว้แต่โพรงอากาศใต้ดินเป็นจำนวนมาก เรียกว่าตอนนี้โลกในเวลานี้ไม่มีเครื่องชลอความร้อนจากใต้ดิน ทำให้ผิวดินบนโลกบางพื้นที่มีอากศร้อนมากและร้อนเป็นเวลายาวนาน

4. เมื่อผิวดินร้อน ทำให้อากาศบริเวณนั้นจะกลายเป็นหย่อมความกดดันอากาศสูง เป็นเหมือนตัวล่อให้ลมเย็นบริเวณอื่นวิ่งเข้ามาแทนที่ลมร้อนแถวนั้น แต่ว่าเวลาลมเย็นมันเคลื่อนที่มานั้น มันมาแบบติดต่อและต่อเนื่องกัน จนกลายเป็นพายุ และนับวันจะยิ่งเกิดมากขึ้น ถี่ขึ้น ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ด้วยเหตุที่ว่ามานี้

5. ในขณะเดียวกันโพรงอากาศใต้ดินในข้อ 3. มีแต่ลมร้อนแผดเผาทำให้มันต้องหาของเหลวหรือก๊าซใหม่มาอยู่แทนที่  หากหาได้นั่นก็คือสูบหรือดูดแบ่งมาจากแหล่งอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ กัน (เนื่องจากทั้งน้ำมันและก๊าซไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ทดแทนของเก่าได้เองภายในเวลาร้อยหรือสองร้อยปี)  แต่ถ้าหามาแทนที่ไม่ได้ ลองนึกถึงโพรงดินที่ถูกไฟเผาอยู่ทุกขณะเวลา ในที่สุดดินก็จะค่อยผงและผุกร่อนจนพังทลายจนกลายเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว
ทีนี้ก็คงจะเห็นแล้วว่า ใครคือตัวการที่แท้จริง  ที่ทำให้โลกเราไม่น่าอยู่มากขึ้นทุกวัน ใครครับ?

แหล่งเดิมที่เคยเผยแพร่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น