หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผ่าโลก "คนรวย"


ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในเอนทีก่อนเรื่องผ่าโลก "คนจน" แล้วว่า ผมไม่ใช่คนจนและผมไม่ใช่คนรวยแต่ผมเคยเป็นคนจนมาก่อนและในอนาคตจะไม่มีวันที่ผมจะได้เป็นคนรวยแน่นอน  แต่มาวันนี้ผมกำลังจะสะเออะเขียนเรื่องของคนรวย(มันน่ามั่นใส้นัก) นับจากช่วงเวลานี้ไป ผมจะสมมติว่าตัวผมเองเป็นคนรวย เพราะหากไม่เล่นสมมติเช่นนี้ มันเขียนยากเกินกำลังสำหรับคนที่ไม่เคยรวยอย่างผม และทั้งหมดที่กำลังจะถ่ายทอดออกไปในเอนทรีนี้ อาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง ก็ต้องขออภัยเอาไว้ก่อน เพราะนี่คือการนั่งเทียนเขียน หรือเขียนเดาเอา เสียเป็นส่วนใหญ่ เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาผ่าโลก "คนรวย"กันเลยดีกว่า

คนรวยคือใคร? ตรงนี้อาจจะมีความเห็นแตกต่างกันออกไป  ในบทความนี้ผมหมายถึง "คนที่ได้กำไรมากจนเหลือกินเหลือใช้ และไม่รู้ว่าจะเอาส่วนที่เหลือกินเหลือใช้ไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อของแพงที่ไม่มีความจำเป็นแก่การดำรงชีวิตมาใช้มากินหรือมาอวดคนที่รวยน้อยกว่าตัวเองหรือคนจนนั่นเอง"

จากนิยามของ คนรวย ที่ผมเขียนมานั้น ทีนี้เราลองมาศึกษาอุปนิสัยใจคอของคนรวยกันดู โดยผมถอดนิสัยเด่น ๆ ของคนรวยออกมาจาก นิยามข้างบนได้ดังนี้

1. คนรวย ชอบความสะดวกสบาย เพราะมีเงิน ข้าวของหรือบริการใด ๆ ในโลกนี้หากทำให้ชีวิตตนเองสะดวกสบายขึ้น ยินดีที่จะสรรหามาใช้โดยไม่ขี้เหนียว เรียกว่าใช้เงินได้คุ้มค่าเพื่อแลกกับสิ่งของอำนวยความสะดวกเหล่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตคือการได้เรียนรู้กับความยากลำบากถูกตัดขาดออกไปจากชีวิตโดยสิ้นเชิง

2. คนรวย ชอบอวดและชอบคุ้ยโม้  สังเกตุง่ายมาก  ใครที่ชอบใส่สร้อยคอ สร้อยข้อมือ เครื่องประดับร่างกายทุกชนิดที่มีราคาแพง แสดงว่า ใช่เขาล่ะ คนรวยแน่นอน เพราะคนจนคงไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นมาใส่อวดใครได้ นอกจากจะชอบอวดด้วยการแสดงตัวดังกล่าวแล้วยังไม่พอ มันต้องพูดเสียงดังฟังชัดว่า ที่ฉันใส่มาแค่ไม่กี่บาท(ทอง) ที่บ้านยังมีอีกหลายเส้น  น่าจะประมาณนี้  เราหรือใครได้ยินแบบนี้เข้าก็ขอให้เข้าใจโดยทันทีว่า เขาเป็น คนรวย  อย่าได้รังเกียจเขา เพราะธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น ลองถ้าเราได้มีโอกาสได้สนิทกับคนแบบนี้ เราต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการชักชวนให้คนเหล่านี้ร่วมทำบุญ(อะไรก็ได้)กับเขาลองดู หากเขาปฏิเสธแบบไม่มีเหตุผลหรือร่วมทำบุญกับเราแต่จัดว่าทำในจำนวนที่ถือว่าน้อย แสดงว่า นั่นคือคนรวยไม่จริง แต่ถ้าเขาทำทันทีโดยเต็มใจไม่ถามอะไรที่ดูแล้วเซ้าซี้กวนใจ นั่นแสดงว่า เขาคือคนรวยจริง เพราะคนรวยจริง  ชอบทำบุญโดยธรรมชาติของพวกเขาอยู่แล้ว เพราะถ้าได้ทำบุญนอกจากจากจะได้บุญแล้วยังได้หน้าได้ตาอีกหาก พวกเขาจึงชอบทำบุญด้วยเหตุผลนี้

3. ขี้อิจฉา-ขี้สงสาร สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเสมอ เพียงแต่ผมรวบเข้ามาเป็นอันเดียวกัน เพื่อใช้อธิบายสภาพจิตใจของคนรวยเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ทุกคนเมื่อเจอสิ่งที่ตนเองปราถนากับเมื่อตนเองได้เจอสิ่งที่ไม่ปราถนามันจะมีอารมณ์ความรู้สึกที่คล้าย ๆ กัน แต่เป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน  ในที่นี้คนรวยหากเจอสิ่งที่ตัวเองไม่ปราถนา เช่น ถ้าลองมีใครมาแสดงว่ารวยกว่าตนเอง ความขี้อิจฉาก็จะเข้ามาครอบครองสมองเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันหากคนรวยไปเจอกับสภาพที่ตนเองปราถนา เช่น มีคนที่ต้อยต่ำกว่ามานั่งประจบประแจง หรืออาจจะเรียกว่า เลียแข้งเลียขาก็ได้  ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต่างก็ชอบและปราถนากันทุกคน ความขี้สงสารก็จะเข้ามาครอบครองสมองคนรวยทันที นี่คือสภาพจิตใจของคนรวย เมื่อกระทบเข้ากับสภาพที่ตนเองปราถนาและไม่พึงปราถนา มันจะส่งออกผลมาในทิศทางที่คล้ายกันแต่กลับตรงข้ามกัน และจะกลายเป็นสิ่งจูงใจให้คนรวยกระทำการใด ๆ ออกมาในเวลาต่อมา เช่น หากเกิดความอิจฉาขึ้นก็ต้องสู้กันบ้าง โดยการเกทับฝ่ายตรงข้ามกลับไปเพื่อเป็นการตอบโต้ เป็นต้น หรือหากเกิดความสงสารขึ้นคนรวยก็จะให้ความช่วยเหลือ เกื้อกูล ผู้ที่ตำต้อยกว่า เพราะตนเองมีกำลังมีทุนทรัพย์ที่จะทำได้ อย่างนี้เป็นต้น

ผมได้นำเสนอนิสัยที่เด่น ๆ ของคนรวยมาทั้งหมด 3 ประการ  จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะครับ  แต่ผมไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมด เอาแค่พอหอมปากหอมคอพอ เพราะยังมีอย่างอื่นของคนรวยที่สำคัญกว่าที่จะนำเสนอต่อไป ทีนี้ผมจะลองจำแนกคนรวยตามลักษณะความเป็นมาของคนรวย ซึ่งผมจำแนกออกมาได้สามลักษณะดังนี้

1. คนรวยดั้งรวยเดิม เรียกว่า เกิดมาก็รวยทันทีเพราะบุพการีมีทรัพย์สมบัติไว้ให้ใช้ นอกจากพวกเขาจะมีสมบติแล้วพวกเขายังมี วัฒนธรรมการรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่ยั่งยืนสืบไป ตกทอดกันมาเป็นรุ่น ๆ ทำให้คนรวยตามลักษณะนี้แทบจะไม่มีโอกาสจะกลายเป็นคนจนได้เลย วัฒนธรรมการรักษาทรัพย์สมบัติที่กล่าวถึง ได้แก่ การใช้จ่าย และการแสวงหาสมบัติมาเพิ่มเติม สองอย่างนี้ต้องไม่ขาดทุนเป็นอย่างน้อย คนรวยตามลักษณะนี้บางทีเราเรียกเขาว่า พวกผู้ดี ก็ได้

2. คนรวยที่มาจากคนจนสู้ชีวิตแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก็คือคนที่เคยจน แต่เป็นคนจนที่ขยัน มีมานะอดทน เก็บหอมรอมริบดี คนรวยที่มาจากสาเหตุนี้เช่น คนจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระมหากษัตริย์ไทย ในตอนที่อพยพมาก็มีแค่สื่อผืนหมอนใบเรียกว่ามานับหนึ่งใหม่บนแผ่นดินไทย พอเวลาผ่านล่วงเลยมาจนถึงยุคปัจจุบันคนเหล่านี้ก็นับมาถึงสิบแล้ว คือร่ำรวยเป็นเถ้าแก่ อะเสี่ยกันไปหมดแล้ว จะเห็นคนรวยแบบนี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะได้รวย และที่สำคัญเมื่อรวยแล้วก็ยากที่จะกลับไปจนอีก ลูกหลานของคนรวยแบบนี้ก็จะกลายเป็นคนรวยดั้งรวยเดิมนั่นเอง

3. คนรวยที่มาจากความฟลุ๊คหรือรวยบนเส้นทางลัด เช่น ถูกหวยหรือล็อตเตอรี่ หรือได้โชคจากการเสี่ยงโชคอย่างอื่น เช่น เล่นหุ้นหรือถูกหวย คนรวยแบบนี้เท่าที่ผมเคยเห็นมักจะเป็นแบบเดียวกับไฟไหม้ฟาง คือรวยชั่วประเดี๋ยวแล้วกลับไปจนเหมือนเดิม เพราะอะไรที่ได้มาง่าย มันก็จะหมดไปง่ายเช่นกัน เพราะไม่ได้รู้ซึ้งถึงรสชาติในการได้มา ก็เลยใช้จ่ายไม่ค่อยเป็น คิดว่าเมื่อหมดแล้วเดี๋ยวค่อยหาใหม่เพราะหาง่าย แต่ว่ารวยแบบพึ่งดวงแบบนี้ยากที่จะกลายเป็นคนรวยแบบถาวรเหมือนอย่างสองแบบที่กล่าวไปก่อนแล้ว ในประเทศไทยมีคนรวยแบบนี้มากกว่าทั้งสองแบบบนรวมกันเสียอีก

ต่อไปผมจะจัดแบ่งประเภทคนรวยตามเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต(ก่อนตาย) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้ครับ

1.รวยแล้วพอ หมายความว่า "ถ้าเมื่อไหรที่ตัวเองรวย  ก็พอแค่นั้น โดยบรรดาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่หามาได้นั้น จะเหลือตกเป็นสมบัติแก่ลูกหลานไม่มาก กล่าวคือ จะปล่อยให้ลูกหลานได้ลำบากบ้างเพื่อเรียนรู้ชีวิต โดยใช้ทรัพย์สมบัติส่วนที่ได้จากมรดกเป็นทุน สำหรับฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาของชีวิต จนกว่าจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยเช่นเดียวกับตน ซึ่งหากทุกอย่างได้ตามที่คาดหวัง มันคงจะหอมหวนเสียยิ่งกว่า น้าผึ้งเดือนห้าเสียอีก แต่หากลูกหลานไม่ประสบความสำเร็จตนเองก็พร้อมจะยอมรับในความผิดพลาดนั้น ข้อสังเกตุก็คือ นอกจากทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยที่จะมอบเป็นมรดกให้ลูกหลานแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกว่าทรัพย์สินที่ต้องการถ่ายทอดเป็นมรดก นั่นก็คือ การถ่ายทอดภูมิความรู้ ซึ่งภูมิความรู้ ถือเป็นความลับอย่างยิ่งที่จะมอบให้แก่ลูกหลาน เอาไปใช้ทำมาหากินในวันข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์เด่นอีกประการหนึ่งก็คือ คนรวยประเภทนี้เลือกคบคนโดยไม่สนใจฐานะ(ความเป็นอยู่)และระดับสติปัญญาคือคบได้หมด หากคนรวยในโลกนี้เป็นแบบนี้ทั้งหมด โลกนี้ก็คงไม่วุ่นวายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่

2.รวยแล้วไม่พอ หมายความว่า "ถึงรวยเป็นเศรษฐีแล้วก็ยังต้องการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองไม่หยุดหย่อน เรียกว่า ยังไม่รู้จักพอ"  เนื่องจากเป้าหมายของชีวิตก็คือ หาสะสมเอาไว้ให้ลูกหลานหลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว ยิ่งได้เยอะ ลูกหลานก็ยิ่งสบาย ไม่ทราบว่าคิดถูกหรือคิดผิด เพราะถ้าคิดเพียงแต่จะมอบสมบัติให้ลูกหลาน  แต่ไม่มอบสติปัญญาให้ด้วย แบบนี้คาดว่ามีเท่าไรก็ไม่พอ  แต่ถ้ามอบทั้งสมบัติและสติปัญญาแบบคนรวยประเภทแรกเชื่อว่า จะอยู่ไปได้ชั่วนาตาปีอย่างแน่นอน และเช่นเดียวกันการเลือกคบคนจะเลือกคบคนโดยมีชั้นเชิง และจะมองหาเหยื่อไปยังกลุ่มที่โง่กว่าตนหรือรู้ไม่เท่ากับตนเพื่อแสวงหาโอกาสและสร้างผลกำไรในอนาคต ดังนั้นอย่าไปถามหาความสงบว่าจะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้เมื่อไร เพราะหากโลกสงบเมื่อไหร่ก็เท่ากับคนรวยประเภทนี้ตายหมดทั้งโลกแล้ว ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ และเมื่อไรที่คนรวยประเภทนี้เห็นว่าคนอื่นที่กำลังคบหาอยู่กับตนนั้นเริ่มฉลาดขึ้น ก็จะคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อทำให้เขาเหล่านั้นโง่เหมือนเช่นเดิม (เพราะหากขืนปล่อยไว้ตัวเองจะหากำไรได้ยากขึ้น) วิธีที่จะทำให้คนอื่นโง่ ได้แก่ 1). พูดถ่ายทอดให้คนอื่นฟังจากปากตัวเองเพียงผู้เดียวเท่านั้นเรียกว่า ผูกขาดความคิดไปเสียเลย 2). ทำให้คนอื่นห่างวัดห่างวาห่างธรรมะ โดยการบิดเบือนพระธรรมคำสอน 3). ถ้ามีอิทธิพลมากพอหรือมีบุญคุณสูงพอก็จะใช้สองอย่างนี้ข่มขู่ เหล่านี้เป็นต้น และทั้งหมดต้องทำไปพร้อม ๆ กับการหยิบยกทรัพย์สินเล็ก ๆ นอย ๆ ให้กับคนเหล่านั้น เพื่อทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณ และห้ามทรยศต่อตนเอง  ไป ๆ มา ๆ คนรวยแบบนี้ก็เข้าข่ายกลายเป็นผู้มีอิทธิพลนั่นเองครับ

ทั้งหมดที่เขียนขึ้นในเอนทรีนี้คือ คนรวย หากเห็นว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร อย่าได้เกรงใจครับ ติติง แนะนำผมได้ครับ ยินดีรับฟังทุก ๆ ความเห็นครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ครับ และพบกันใหม่ในบทความต่อ ๆ ไปครับ

นิสัยคนรวยฉบับละเอียด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น