หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิเคราะห์สังคมไทย "ทำไมเราจึงมีนายกฯ จากตระกูลชินวัตรมากถึง 3 คน?"

ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต
สังคมทุกสังคมในโลกนี้ย่อมมาจากผู้คนมากหน้าหลายตามารวมกัน นอกจากจะหลายหน้าหลายตาแล้วยังมีหลายแนวความคิดอีกด้วย ในสังคมใหญ่ระดับประเทศก็สามารถแบ่งย่อยเป็นสังคมเล็กได้อีกเช่น เช่น ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล ฯลฯ สังคมที่เล็กที่สุดก็คือครอบครัว ทุกคนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวล้วนมีเอกลักษณ์ของตนเองทุกคน เช่น พ่อชอบเลี้ยงหมา แม่ชอบเลี้ยงปลา ลูกคนโตชอบเลี้ยงนก ลูกคนเล็กชอบเลี้ยงแมว จะเห็นว่าชอบไม่เหมือนกัน แต่ในความต่างย่อมมีความเหมือน จากตัวอย่างที่ยกมาทุกคนในครอบครัวมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนเป็นคนรักสัตว์ นี่คือเอกลักษณ์ของครอบครัว และถึงแม้แต่ละคนจะรักชอบสัตว์ไม่เหมือนกันแต่ทุกคนก็เคารพในความรักสัตว์ของคนอื่นที่แตกต่างไปจากตัวเอง โดยการไม่ไปดูหมิ่นความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่น ซึ่งจะเป็นชนวนของความขัดแย้งของครอบครัวในภายหลัง นี่คือ วินัย ของสมาชิกทุกคนในครอบครัวตามที่ยกตัวอย่างมา
ก่อนจะไปวิเคราะห์ครอบครัวชินวัตร เรามาวิเคราะห์สภาพสังคมไทยทั้งหมดให้ดีเสียกันเสียก่อนว่า มันอยู่ในสภาพใด เนื่องจากสังคมไทยคือคนไทยทั้งประเทศเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกนายกฯตามสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

สภาพสังคมไทย ถ้าพิจารณากันจากนิสัยใจคอของคนไทยในปัจจุบันพบว่า

1. คนไทยมีความเชื่อแบบผิด ๆ เช่น อยากเด่นอยากดังจนเกินความพอดี อยากให้คนอื่นยอมรับตัวเองโดยที่การยอมรับนั้นมิได้มาจากความดีที่ตนเองทำสะสมมา สังเกตุง่าย ๆ ทุกวันนี้เวลาเราไปร่วมงานมงคลอะไรก็ตามเช่น สมรส บวชนาค หรือแม้แต่งานศพ ทุกคนที่ไปร่วมงาน ต่างก็แต่งตัวโอ้อวดกัน ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ แต่งหน้าแต่งตาแข่งกัน บางคนก็ชอบคุยโอ้อวดแกมข่มผู้อื่น ให้คนอื่นรู้ว่า "กูใหญ่" อย่างนี้เป็นต้น ทำให้เกิดการเลียนแบกันอย่างกว้างขวาง ถามว่าพฤติกรรมแบบนี้มันผิดไหม แน่นอน มันไม่ผิด แต่มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความคิดและพฤติกรรมที่ผิด ๆ อื่น ๆ ตามมาเช่น วันดีคืนดีเกิดหลายคนมั่นใส้คนที่กำลังคุยโม้โอ้อวดอยู่นั้น ด้วยการพูดขัดคอขัดใจ ในที่สุดก็เกิดปากเสียงและวิวาทกัน และแน่นอน คนไทยเมื่อทะเลาะวิวาทกันแล้วถ้าไม่ตายกันสักข้างก็คงไม่ยอมจบเรื่อง นี่คือทีมาของปัญหาการขาดความสามัคคีกันของคนไทย และจะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ว่ามากันเป็นวงกว้างจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาในสังคม

2. คนไทยไม่ชอบระเบียบกฎเกณฑ์ที่นำมาใช้บังคับ ยกตัวอย่าง เช่น การเข้าคิวเพื่อติดต่อทำธุระกับทางราชการ คนมีเงินไม่ต้องต่อคิวเพียงแค่ยื่นซอง(สินน้ำใจ)ให้เจ้าหน้าที่(แบบลับ ๆ) แล้วก็กลับบ้านได้เลย แต่คนที่ไม่ค่อยมีเงินไม่มีทางเป็นอื่นได้เลยคือต้องเข้าแถวต่อคิวรอตามระเบียบ เรียกได้ว่า กฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งทางสังคมและทางกฎหมายมีบังคับใช้จะใช้ได้เฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเงินเท่านั้น  นี่คือสองมาตรฐานตัวจริง  จึงกลายเป็นประเด็นของการทุจริตคอรัปชั่นในเวลาต่อมาและมีปัญหาที่รุนแรงอยู่ในปัจจุบัน จากผลสำรวจบอกที่ว่า "ถึงนักการเมืองจะทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างไรก็ช่าง แต่ขอให้แบ่งจัดสรรค์แบ่งปันมาถึงตัวเองและพวกพ้องด้วย เป็นอันพอ" นี่คือสัญญาณอันตรายอีกหนึ่งสัญญาณ อย่าไปโทษนักการเมืองเป็นอันขาด เพราะเราไปยอมรับวัฒนธรรมการลัดคิวด้วยเงินกันเอง แน่นอนคนไม่ค่อยมีเงินในวันนี้ เมื่อได้เห็นตัวอย่างการลัดคิวด้วยวิธีดังกล่าว เชื่อว่าสักวันเขาต้องทำตาม เพราะมันง่ายและสะดวก แม้ว่าวันนี้จะไม่มีเงินก็ตาม (แต่ก็จะไปหาเงินมาเพื่อทำการดังกล่าวในวันหน้าแน่นอน) และวัฒนธรรมลัดคิวดังกล่าวมีให้เห็นกันเกืออบจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับสังคมไทยในวันนี้

3. คนไทยชอบใช้กำลังมากกว่าใช้เหตุผล นิสัยคนไทยในข้อนี้ดูเหมือนจะไปสอดคล้องกับข้อ 1 อย่างลงตัวพอดี และในข้อ 6 จะอธิบายว่าทำไมคนไทยไม่ชอบใช้เหตุผล

4. คนไทยขาดหลักคิด เพื่อส่วนรวม โดยปกติสมาชิกที่ดีของสังคมจะต้องให้ความสำคัญและรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าต่อตัวเอง เนื่องจากถ้าสังคมหรือส่วนรวมอยู่ไม่ได้ตัวเองก็ต้องอยู่ไม่ได้เช่นกัน แต่คนไทยในเวลานี้หาคนที่คิดแบบที่ว่ามา ได้น้อยมาก ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็จะทำตามความต้องการของตัวเอง คนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรไม่อยากคิดและขี้เกียจคิด นั่นก็คือคนไทยขี้เกียจคิดเรื่องผลกระทบที่จะตามมาในภายหลัง ทำอะไรก็แค่ทำแบบลูบหน้ปะจมูกเอา เอาแค่รอดตัว(เอง) ส่วนคนจะได้รับผลกระทบจากที่ฉันทำอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของฉัน ทำให้สายสัมพันธ์ของระหว่างคนในสังคมเริ่มเจือจางลง แต่ละคนต่างก็เห็นแก่ตนและพวกพ้องเป็นสำคัญ เมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน ตัวเองนั่งสะห์ใจ สายสัมพันธ์ที่เจือจางอยู่แล้วก็เริ่มขาด ทำให้ความสามัคคีของคนในสังคมอ่อนกำลังลงไปเพราะไม่ยึดมั่นและให้ความสำคัญกับส่วนรวม


5. คนไทย ชอบความง่ายจนเกิดเป็นนิสัยที่เรียกว่า "มักง่าย"  ความมักง่ายสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ในที่นี้ผมหมายถึง "อะไรที่ไม่เกี่ยวกับกู กูจะไม่เกี่ยว กูจะไม่ยุ่ง" ต่างหากครับ  กล่าวคือคนไทยยุคนี้ไม่อยากเดือดร้อนเพราะเรื่องคนอื่นครับ ยากครับ ที่จะหาคนกล้า(หาญ)ในยุคนี้ ผู้หญิงโดนฉกกระเป๋าไปต่อหน้าต่อตา แต่คุณผู้ชายบางคนนั่งทำหน้าตาเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ ขี้เกียจเป็นพระเอก ไม่อยากยุ่งยากเรื่องค้า(คดี)ความในศาล ตรงนี้จะเห็นว่าในเวลานี้คนดีไม่มีกำลังใจจะทำความดีเพราะกลัว(อำนาจมืดหรืออำนาจอะไรผมก็ไม่ทราบ) ทำให้ทุกวันนี้เราอยู่กันไปแบบตัวใครตัวมัน เพราะมันง่าย ที่ดูแลและควบคุม เพราะคนอื่นไว้ใจยาก นี่คือที่มาของความมักง่าย

6. เมื่อ ขี้เกียจ แล้วก็ต้องมักง่าย และสิ่งสุดท้ายที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นก็คือ โง่ เพราะสมองเมื่อไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็ย่อมตีบตัน คิดอะไรไม่ค่อยออก และยากแก่การพัฒนา ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนไทยขี้เกียจแม้แต่จะคิด แยกแยะด้วยเหตุผล เพราะการไม่ชอบใช้เหตุผลนี่เองที่ทำให้คนไทยโง่ลง ซึ่งจะสอดคล้องกับข้อ 3 อย่างชัดเจน เมื่อไม่ชอบใช้เหตุผล ก็ต้องใช้แต่อารมณ์และกำลังในการแก้ปัญหาต่าง ๆ สิ่งที่จะบ่งบอกถึงคุณสมบัติข้อนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือ คนโง่ชอบใช้กำลัง คนฉลาดชอบใช้เหตุผล ซึ่งคนไทยกลับตรงกันข้ามกับคนฉลาด สาเหตุทั้งหมดก็มาจากที่ได้กล่าวไปแล้ว  ทีนี้ คนเมื่อโง่ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด ถ้าคนนฉลาดแต่ไม่คดโกงมาหลอกก็คงไม่เสียหายอะไรมากนัก แต่ถ้ากลับตรงกันข้าม(คนฉลาดและโกง)ก็ย่อมเสียหายในวงกว้างทั่วทั้งสังคม  และไม่มีทางที่สังคมนั้นจะกลับไปมีความสมบูรณ์สุขได้อีกต่อไป  เพราะทุกวันนี้สังคมไทยมีคนอยู่แค่สองประเภทคือ คนโง่ กับ คนโกง สมยอมผลประโยชน์กัน

นี่คือสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน จริงอยู่ว่า ยังมีคนไทยที่ไม่ได้เป็นตามที่กล่าวมาอีกจำนวนหนึ่ง แต่ถือว่าน้อย เพราะถ้าสังคมไทยมีคนที่มีคุณภาพเกินครึ่งประเทศ ตระกูลชินวัตร ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ของประเทศได้เลยแม้แต่คนเดียว ทีนี้ลองมาสำรวจดูว่า คนในตระกูลชินวัตร เขาเป็นเขาอยู่กันอย่างไร

แน่นอนตระกูล ชินวัตร เขาอยู่กันแบบเครือญาติ มาจากหลาย ๆ ครอบครัว แต่มีครอบครัวหลักอยู่ครอบครัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ต่างภายในตระกูลให้ลงตัว ครอบครัวดังกล่าวก็คือ ครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร เรียกว่าเป็น พี่ใหญ่ จะเห็นว่าการจัดการภายในของพี่ใหญ่นั้นทำได้ดีเยี่ยม เพราะเราแทบจะไม่เห็นคนในตระกูลชินวัตร ทะเลาะเรื่องผลประโยชน์ เหมือนอย่างหลาย ๆ ตระกูล ดังนั้นหากภายใน(ตระกูล)ทุกอย่างดีและพร้อม การออกไปต่อสู้หรือแข่งขันกับสังคมภายนอกเพื่อแสวงหากำไรก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และแล้ว ตระกูลชินวัตรก็เริ่มแผ่ขยายเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะพี่ใหญ่ทักษิณเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ให้คนในหลายหลายวงการได้อย่างลงตัว ทำให้ได้รับการยอมรับและศัทธา แต่สิ่งหนึ่งในรูปแบบหรือวิธีการที่พี่ใหญ่ใช้ในการจัดสรรค์ผลประโยชน์ให้คนในสังคมนั้น จะใช้รูปแบบของวัฒนธรรม ลัดคิว เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน และมักจะสำเร็จทุกครั้ง จนได้รับการยกย่องและได้รับความไว้วางใจจากคนไทย(มักง่าย)ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกฯ

จะเห็นได้ว่าเส้นทางการได้มาเป็นนายกฯของประเทศไทย มันมีความสอดคล้องอย่างลงตัวกับสภาพสังคมไทยในเวลานี้ นั่นก็คือ วัฒนธรรม ลัดคิว และ การสมยอมผลประโยชน์ โดยที่ ผิด-ถูก ชั่ว-ดี ไม่มีความหมาย เลยทำให้สังคมไทยที่ป่วยเป็นโรค ขาดแคลนคนดีและกล้าหาญ ซึ่งคล้าย ๆ เม็ดเลือดขาวในร่างกายมนุษย์ หากเม็ดเลือดขาวลดน้อยโอกาสที่จะเป็นสาระพัดโรคก็ย่อมมีสูง  และสังคมไทยกลับมีเคราะห์หนักเข้าไปอีก  เมื่อสังคมไทยกลับต้องเจอ วัคซีนทำลายเม็ดเลือดขาวเข้าอีก จากการใช้นโยบายประชานิยม ส่งเสริมการเล่นพนันอย่างถูกกฎหมาย เรียกว่า อบายมุขครบวงจร อีกไม่นานร่างกายนี้จะสิ้นแรงและล้มตาย เพราะเชื้อโรคจะทำลายระบบต่างของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจ อีกไม่นานเกินรอ

จากที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปง่าย ๆ ก็คือว่า ณ วันนี้ คนไทยชอบความมักง่ายจนไร้ระเบียบวินัย เมื่อวินัยคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคมถูกมองข้ามถูกปฏิเสธและถูกละเลย ความวุ่นวายในสังคมก็ตามมา ถ้าวุ่นวายถึงขั้นรุนแรงก็จะควบคุมไม่ได้ และจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงในวันหน้า สำหรับสมาชิกในตระกูล ชินวัตร แค่ 3 คนที่ได้เป็นนายฯ ไปแล้ว  ยังถือว่าน้อยไป  ดังนั้นสมาชิกในตระกูลชินวัตรที่เหลือและยังไม่เคยเป็นนายก ฯ มาก่อน โปรดเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของประเทศไทยในโอกาสต่อไปได้เลย เพราะหนทางสะดวกยิ่งนัก

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติอ่านบทความ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น