หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลายคนคิดว่าปัญหาของสังคมไทยทุกวันนี้มาจากนักการเมือง แต่ผมบอกว่ามันไม่ใช่

ที่บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง กล่าวคือ มันไม่ได้ถูกตามนั้นทั้งหมด ทำไมล่ะ? ทำไมผมจึงกล้าท้าทายแนวคิดของคนอื่นขนาดนั้น มาดูครับ ผมจะจำแนกให้ดู

ประการแรก นับจำนวนประชากรได้เลย ประชาการที่มีอาชีพเป็นนักการเมืองทุกระดับของประเทศไทยผมคิดว่าอย่างมากสุดแค่ 1% ของจำนวนประขากรทั้งหมด แล้วทำไม 1% จะมีอิทธิพลเหนือกว่า 99% ที่เหลือได้อย่างไร เพียงแต่มันมีปัญหาที่ตรงที่ 1% มันน้อย มันเลยรวมตัวกันง่าย แต่ 99% มันกระจัดกระจาย ยากแก่การรวมตัว ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นมา และไอ้พวก 1% ก็นำมาใช้หาผลประโยชน์กันเช่น โยนเศษเงินที่ได้จากการโกงมาเพียงเล็ก ๆ น้อย ให้บางกลุ่มใน 99% เพื่อปิดปากหรือเพื่อสร้างบุญคุณแก่กัน แค่นี้ก็จบแล้ว หากว่าเมื่อไรที่ 99% รวมตัวกันได้ ทั้งทาง ความเชื่อ ศัทธา วัฒนธรรม ความคิด หรืออะไรสักอย่าง ผมเชื่อแน่ 1% คงไม่กล้าซ่าส์แน่นอน แต่ว่าตอนนี้ไม่มีประเด็นใดเลยที่จะทำให้ 99% เกิดการรวมตัวกันได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะบางส่วนของ 99% ไปติดกับดักเข้าเลยไปไม่เป็น และนับวันจะลุกลามไปใหญ่โต ในประการนี้ผมให้น้ำหนักความผิดเป็นว่า ผิดเท่า ๆ กันคนละ 50% แฟร์ ๆ กัน หรือจะเรียกว่า สมยอมกัน ก็ได้

ประการที่สอง แสงเทียนที่จะใช้สร้างปัญญาที่แท้จริงถูกบิดเบือนและถูกทำลาย ผมหมายถึงพระพุทธศาสนา ทุกวันนี้คนไทยไปเล่นพระเครื่อง เครื่องรางของขลังเกินครึ่งประเทศ ประเด็นนี้ผมโทษนักเมืองไม่ได้เลยเป็นความผิดของสังคมไทยแบบ 100% เต็ม ๆ ครับ เพราะเรางมงายไม่มีเหตุผลกันเอง คนที่กำลังเล่นพระเครื่องออาจจะเถียงผมในประเด็นนี้ว่า นี่คือการสืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ผมจะบอกว่า องค์พระสัมมาพระพุทธเจ้าไม่เคยรับสั่งเรื่องเหล่านี้เลย เพียงแต่คนรุ่นหลังจำลองพระพุทธเจ้าขึ้นมาไว้เคารพก็เพราะว่า พระองค์คือผู้นำพระธรรมมาเผยแพร่สร้างสติปัญญาให้คนรุ่นหลลังได้เข้าใจ จนไม่รู้ว่าพระคุณของพระองค์จะมากมายสักขนาดไหน ยากที่จะกล่าวได้ จึงได้ทำพระพุทธรูปตั้งเอาไว้เพื่อเคารพบูชา และเพื่อเป็นกุศโลบายว่า นี่คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ต่างหากครับ มองไปที่พระพักต์ของพระองค์สิครับ แล้วจะเห็นว่าพระองค์ ไม่เคยเศร้า ไม่เคยม่นหมอง เพราะพระองค์รู้จักกิเลสทุกชนิด และพระองค์ทรงตื่นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายเหล่านั้น เลยทำให้พระองค์ทรงอิ่มเอิบและเบิกบาน นี่คือสิ่งที่หลายคนไม่เคยทราบว่าทำไมพระองค์จึงอิ่มเอิบและเบิกบานมาก่อน ทำให้เราเป็นไปตามอำนาจเงินตราของโลกตะวันตกที่เห็นเรื่อง กำไร เป็นที่ตั้ง หากคนไทยไปเล่นพระเครื่องหมดทั้งประเทศ บอกได้คำเดียวว่า พระพุทธศาสนาสูญพันธ์ในประเทศไทยแน่นอน ผมพูดแบบนี้หลายคนคิดมั่นไส้ เอาเถอะครับ จะ ด่า หรือ ตำหนิ หรือ จะติติง ผมได้เลย ครับ เพราะผมเองยังไม่ได้เขียนอีกหลายอย่างเพราะไม่อยากให้อ่านบทความนี้ด้วยเนื้อหาที่มากจนเกินไป เพราะมันจะเสียเวลาสำหรับคนที่เข้าใจหลักพระพุทธศาสนาดีอยู่แล้วเป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ผมย้ำอีกทีว่า สังคมไทย 99% + 1% ผิดเต็ม ๆ ครับ (เพราะนักการเมืองยังเล่นพระเครื่องเช่นกัน)

ประการที่สาม นิสัยใจคอของคนไทยเป็นอุปสรรค ต่อการรวมตัวเพื่อเรียกร้องและคัดค้านนักการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ลองอ่านจากบทความเรื่อง วิเคราะห์สังคมไทย "ทำไมเราจึงมีนายกฯ จากตระกูลชินวัตรมากถึง 3 คน?"  ก็จะเข้าใจว่าคนไทย ขี้เกียจ(คิด) มักง่าย และ โง่ นี่คือปัญหาสำคัญของสังคมไทย ที่ยากจะแก้ไข และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมั่นใจว่า ปัญหาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้มาจากนักการเมืองอย่างแน่นอน ประการนี้คงต้องโทษ 99% แบบเต็มร้อยครับ

ประการที่สี่ คนไทยไม่ชอบความพ่ายแพ้ และจะปฏิเสธหรือหลบหนีความแพ้  คนเราแพ้อะไรก็ช่างเถอะครับ ขออย่างเดียวว่าอย่าแพ้ตัวเอง ลองสังเกตุบุคคลที่อยู่ในระดับคุณภาพ เช่นคุณเฉลียว(กระทิงแดง) คุณตัน (โออิชิ)  เป็นต้น คนเหล่านี้จะได้รับการพัฒนามาจากจุดที่ชีวิตได้พบกับความพ่ายแพ้มาก่อนทั้งสิ้น เพราะชีวิตไปพบกับความพ่ายแพ้ แต่ใจสู้ อบรมตัวเองให้คุ้นเคยกับความพ่ายแพ้ เนื่องจากในความพ่ายแพ้มันมีแง่คิดมากมายที่ทำให้คนคนนั้นนำเอาไปใช้เพื่อการพัฒนาตนเอง จนกล้าและแกร่ง อยากที่กลับพบความพ่ายแพ้แบเดิมได้อีก คนที่เจอแต่ความ่ายแพ้ในชีวิตซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ แสดงว่ายังไม่มีการพัฒนาจากการเรียนรู้ความพ่ายแพ้ มันก็เลยแพ้จนวันตาย  ในขณะเดียวกันมีความพ่ายแพ้อยู่ชนิดหนึ่งที่คนไทยกลับชอบ นั่นคือ ขี้เกียจ ทั้ง ๆ ที่ความขี้เกียจคือความพ่ายแพ้ต่อตัวเองนั่นเอง  และที่ทุกอย่างมันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราขี้เกียจ นี่แหละ และความขี้เกียจมันก็คือความพ่ายแพ้(ต่อตัวเอง)ที่เราดันไปยอมรับมัน แต่ความพ่ายแพ้อื่น ๆ กลับไม่ชอบและเดินหนี  (แปลกไหมล่ะครับ?)  เป็นเพราะอะไรศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ  ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคนไทยไม่มีศักดิ์ศรีเลย เพราะคนไทยยอมแพ้กับความขี้เกียจ ในประการนี้คงต้องโทษฝ่ายที่เป็น 99% แบบเต็มร้อยเช่นเดียวกันครับ

ประการที่ห้า กระบวนการหลังลงโทษคนทำผิด สังคมไทยเราปิด กล่าวคือปฏิเสธที่จะให้โอกาสกับคนเคยถูกลงโทษเช่นคนที่โดนจำคุก ตรงนี้สำคัญเช่นกันเพราะจากในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่เคยติดคุกมีจำนวนมากถูกคนที่ไม่เคยติดคุกปฎิเสธที่จะคบหา ให้การช่วยเหลือ ทำให้คนเหล่านี้เกิดสิ่งที่เรียกว่า น้อยเนื้อตำใจและพัฒนาไปเป็นความคับแค้นใจ ไม่อยากทำดี ทำไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่เมื่อคนเหล่านี้มาพบกันและรวมตัวกันได้จำนวนหนึ่ง ทำให้เกิดการเข้าอกเข้าใจและเห็นใจกันกันในหมู่ของคนเหล่านี้ และเริ่มส่งผลขึ้นมาทันที นั่นก็คือการต่อต้านระบบที่เคยทำให้ตัวเองกลายเป็นคนผิดขึ้นมา ตรงนี้ถ้าจะบอกว่าใครผิด ก็บอกตรง ๆ ว่า เรานี่แหละที่ไม่เคยคิดหามาตรการใด ๆ มารองรับปัญหาเหล่านี้ เพราะเรามองเรื่องทรัพย์สิน แต่ไม่ได้มองเรื่องคุณภาพของคนเป็นหลัก มันถึงได้เป็นอย่างนี้ ลองสังเกตุดูดีๆ คนเสื้อแดงที่มีสมาชิกมากอยู่ในขณะนี้ก็เพราะมาจากคนเหล่านี้ ตรงนี้เป็นความผิดของสังคมโดยชัดเจนไม่ใช่นักการเมือง ดังนั้นประการนี้คงก็ต้องโทษฝ่าย 99% แบบเต็มร้อยอีกเช่นกันครับ

เป็นไงครับ ทีนี้ลองใช้เครื่องคิดเลขบวกลบคูณหารดูก็แล้วกันครับว่า ใครมีส่วนผิดมากกว่ากัน อยากจะเรียนทิ้งท้ายตรงนี้เอาไว้สักนิดหนึ่งครับว่า คนเราก่อนจะไปโทษใครอื่น เราควรโทษตัวเองตั้งทิ้งไว้ก่อนครึ่งหนึ่ง ที่เหลือค่อยไปหาเหตุผลมาหักล้าง(อย่างตรงไตรงมา)กันอีกที มันถึงจะถูกต้องและมันถึงจะเกิดการพัฒนา(พัฒนาระบบความคิดและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม) ไม่ใช่ว่า อะไร ๆ ก็โทษแต่นักการเมือง ซึ่งเราคงจะลืมไปว่า ไอ้นักการเมืองที่เรากำลังโทษอยู่นั้น  แท้ที่จริงแล้วเรานี่แหละเป็นคนเลือกมันมากับมือ แล้วเราจะเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น