ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ฝีมือพอกัน ทำส่งออกไทยพังพาบ เกษตรกรรายได้ลดลงแต่หลอกคนจนได้สนิท
ถ้าใครได้ติดตามข่าวเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะเห็นภาพว่าประเทศไยอยู่ในภาวะถดถอยทุกด้านภายใต้การบริหารงานของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะเรื่องการส่งออกจากที่เคยไวท์ไลน์ว่าจะโตถึง 15% กลายเป็นว่าอาจจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเพียงแค่ 1 % เท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นฝีมืของรัฐบาลล้วน ๆ จนส่งออกไทยใกล้โคม่า หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงการบริหารประเทศของ ทักษิณ ผู้พี่ก็มิได้แตกต่างกันมากนัก เพราะก่อนที่จะเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49 นั้น แนวโน้มการส่งออกก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่การตลาดนำการเมืองหยิบตัวเลขบางตัวมาตบตาคนไทยว่าการส่งออกกำลังพุ่งแรงในยุคที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็น รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์นั้น มิได้แตกต่างไปจากไวท์ไลน์ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง คนปัจจุยันแม้แต่น้อย เพียงแต่ทำได้แบบแนบเนียนกว่าเท่านั้น (ต้องไม่ลืมด้วยว่าสมคิดคนเดียวกันนี้เป็นเลขา ทนง พิทยะ ขณะเป็น รมว.คลัง และเป็นหนึ่งในทีมที่ไปเจรจากู้เงินกับ IMF) สมคิด ใช้โอกาสเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ครบรอบ 86 ปี ว่า การส่งออกของประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2549 มีตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์มูลค่า 11,153 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ ถ้าดูมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทจะพบว่าการส่งออกโตเพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้น อีกทั้งแนวโน้มการส่งออกยังลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วยเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่อในยุคนั้นทำง่าย ๆ เพียงแค่เหรียญกลับด้านคือเลือกเอาเงินสกุลดอลลาร์มาแถลงแทนที่จะเป็นเงินไทย ก็พลิกจากการเติบโตเพียงร้อยละ 8.9 มาเป็น ร้อยละ 16.7 ได้แล้ว โดยที่สื่อมวลชนเองก็ไม่ได้ตรวจสอบให้ลึกลงไปว่าสิ่งที่รัฐตีฆ้องร้องป่าวว่าเก่งกาจเศรษฐกิจนั้น แท้จริงแล้วก็แค่วาทกรรมผสมกับการปั่นกระแสชวนเชื่อจนคนคิดว่า ทักษิณ เก่ง ทั้งที่ความจริงแล้วหากพิจารณาการทำธุรกิจของ ทักษิณ จะพบว่า ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย จนกระทั่งได้สัมปทานผูกขาดด้านโทรคมนาคมจาก รสช.ซึ่งเป็นผู้ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จนเป็นที่มาของวลีว่า “ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้(พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช.) ก็ไม่มีวันนี้)ไม่เพียงแต่การส่งออกจะลดลงเท่านั้นแต่ภาคการเกษตรก็ได้รับผลกระทบจากการส่งออกในตลาดโลกในยุค ทักษิณ เป็นนายกฯไม่แตกต่างกัน โดยส่วนแบ่งในตลาดโลกของสินค้าเกษตรไทยลดลงจากร้อยละ 2.2 ในปี 2543 (ยุคชวน2) เป็นร้อยละ 2.08 ในปี 2547 และในขณะที่ ทักษิณ บริหารนั้นสินค้าเกษตรสำคัญที่เป็นตัวฉุดให้การส่งออกสินค้าเกษตรสูงคิือ การส่งออกข้าวซึ่งหากเปรียบเทียบปี 2545 ถึง 2548 จะพบว่ามูลค่าการส่งออกข้าวเพิ่มถึงร้อยละ 32.7 จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดการส่งออกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงอยู่ในภาวะเหมือนคนไข้ในห้องไอซียู เพราะการส่งออกข้าวไทยลดลงกว่าครึ่งจากนโยบายรับซื้อข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลเพื่อไทย แถมยังมีสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องด้วยแต่ที่ชาวรากหญ้าคิดว่าเงินสะพัดเศรษฐกิจดี ก็เพราะสารพัดกองทุนที่ทักษิณ นำภาษีคนทั้งประเทศไปละเลงแจกจ่ายโดยไม่สร้างรายได้ ทำให้คนจนในยุคนั้นมีเงินใช้กันแบบอู้ฟู่โดยไม่ทันรู้ตัวเป็นการก่อหนี้ให้กับตัวเอง โดยสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของคนจนสุด 10% ของประเทศพุ่งจาก 5-10 เท่าเป็น 15-25 เท่า และยังเป็นคนกลุ่มที่ไร้ความสามารถในการชำระเงินต้นด้วย จนเกิดปัญหาหนี้เน่าตามมา ด้วยการส่งเสริมจากรัฐบาลทักษิณ ให้เกิดความเคยชินกับการกู้ยีมเงิน ใช้จ่ายเกินกำลัง เพราะคิดว่าสุดท้ายรัฐบาลก็จะยกหนี้ให้ที่น่าสนใจคือในขณะที่คนจนหนี้พุ่ง ธุรกิจที่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่คือ ยานพาหนะและค่าบริการสื่อสาร ที่เพิ่มขึ้นถึง 2,671 ล้านบาทในปี 2547 หรือคิดเป็น 21.7% ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการหลอกประชาชนว่าคนจนลดลงทั้งที่หนี้เพิ่มรายได้หด แต่คนไทยจำนวนมากก็เชื่อและยก ทักษิณ ประดุจเทพเจ้าผู้มาปลดความทุกข์ยากให้กับคนจน ทั้งที่เป็นผู้ทำให้คนจนจมปลักอยู่กับหนี้สิน โดยแปลงเงินภาษีผ่านคนจนมาเข้าสู่ระบบธุรกิจตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทรัพย์สินของทักษิณจะเพิ่มขึ้นถึง 4.6 หมื่นล้านในช่วงครองอำนาจ จนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ จากการทุจริตและกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง ซึ่งรัฐบาลน้องสาวกำลังจะช่วยพี่ชายปลดพันธนาการจากคดีความต่าง ๆ และล้วงภาษีคนไทยไปคืนให้กับคนปล้นชาติพี่น้องตระกูลชิน ความสามารถพอกัน ลากเศรษฐกิจ-ชีวิตคนไทยดิ่งเห
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น