หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปชต.แบบ ทักษิณ รวบอำนาจไร้ฝ่ายค้าน เปิดหลังฉากใครปั่นหุ้นยุค แม้ว เรืองอำนาจ



อำนาจรัฐในมือ ทักษิณ ชินวัตร มิใช่สิ่งที่ได้มาโดยธรรมชาติ เพราะการเติบโตของพรรคไทยรักไทยเริ่มต้นจากการซื้อส.ส.เข้าคอกจนสยายปีกไปถึงการควบรวมพรรคการเมืองจนกลายเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ซึ่ง ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณ เคยหลุดคำพูดจากหัวใจประชาธิปไตยแบบทักษิณว่า

“อยากให้ประเทศไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์” ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพราะระบอบการปกครองของสิงคโปร์ คือ ระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ Tony Tankengyam ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2554 ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสิงคโปร์ และมีนายลี เซียน ลุง เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งปกครองประเทศมายาวนานถึง 8 ปี นับจากปี 2547-2555 

ที่น่าสนใจคือการสืบทอดอำนาจนั้นเสมือนกับการสืบทอดทายาทเพราะลี เซียน ลุง เป็น บุตรชายของ ลี กวน ยู ซึ่งเป็นบิดา การปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขทางพิธีการ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขทางด้านบริหาร โดยนับแต่ตั้งประเทศเป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มีการควบคุมสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนและประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างค่อนข้างเข้มงวด

นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ ทักษิณ ใฝ่ฝัน และเคยพูดชัดเจนเกี่ยวกับทัศนคติต่อประชาธิปไตยว่าเป็นเพียงเครื่องมือก้าวขึ้นสู่อำนาจ !

ในแง่ความเข้มแข็งของรัฐบาลแบบฝ่ายค้านไร้บทบาท ทักษิณเกือบทำสำเร็จถ้าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นก้างขวางคออยู่ แต่ในยุคที่เขารวบอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จชนิดที่กล้าพูดกับ เสนาะ เทียนทอง แบบชิล ๆ ว่า “จะกลัวอะไรพี่เหนาะ ก.ก.ต.ก็ของเรา” พร้อมกับเปรียบประเทศเป็นเสมือนบริษัท ซึ่งในปัจจุบันการสานต่อทางอำนาจของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เดินตามรอยพี่ชายทุกกระเบียดนิ้ว หากลองเปรียบเทียบดูจะพอเห็นภาพว่าประเทศไทยก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากสิงคโปร์เท่าใดนัก โดยเฉพาะการแสดงความเห็นต่างจากรัฐบาลที่จะถูกคุกคาม ข่มขู่ อันมิใช่วิธีการของผู้ที่มีหัวใจยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ใช้คำว่าประชาธิปไตยมาบังหน้าเท่านั้น 

การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่มั่งคั่ง ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความโปร่งใสติดอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งแตกต่างจากยุคทักษิณที่มีการทุจริตเชิงนโยบายอย่างโจ๋งครึ่ม ใช้ภาษีประชาชนไปสร้างหนี้บุญคุณกับคนจนอย่างไม่มีความละอายใด ๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือสิ่งที่คุยโวนักหนาว่าทำเพื่อคนจนนั้นแท้จริงแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดในยุค ทักษิณ เรืองอำนาจ คือ นักธุรกิจในเครือข่ายของระบอบทักษิณทั้งสิ้น

โดยเฉพาะการหากินในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในยุคดังกล่าวเห็นชัดเจนว่ามีการ “ปั่นหุ้น” มีการถือหุ้นไขว้กันไปมาระหว่างบริษัทต่าง ๆ เมื่อตรวจสอบก็จะพบว่าโยงใยไปถึงคนในรัฐบาลหลายราย โดย กลต.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวตั้งแต่กลางปี 2548 แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ 

กรณีตัวอย่างที่จะทำให้เห็นอย่างชัดเจนคือ กรณีการตกแต่งบัญชีและไซฟ่อนเงินที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องประเด็นการตกแต่งบัญชีมูลค่า 400 ล้านบาท แต่ไม่หยิบยกกรณีซื้อถังก๊าซทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท มาพิจารณาด้วยทั้งที่มีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน โดยรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีระบุชัดว่า บริษัทผู้ผลิตถังก๊าซมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้บริหารบริษัทโรงงานบรรจุก๊าซ 18 โรง 

ขณะเดียวกันผู้บริหารปิคนิคได้ตั้งบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินขึ้นตรวจสอบว่า การประเมินมูลค่าถังต่ำกว่าที่บันทึกไว้ในบัญชขีประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่ผู้ตรวจสอบบัญชีก็ไม่มั่นใจว่า ปริมาณถังที่บันทึกไว้ว่ายังมีมูลค่าอีกกว่ 1,000 ล้านบาทมีอยู่จริงหรือไม่ ทั้งนี้ทางปิคนิคเคยชี้แจงถึงการซื้อถังก๊าซมูลค่ากว่า2,000 ล้านบาท ต่อตลาดหลักทรัพย์ว่ามีการซื้อขายส่งมอบถังกันจริง แต่เมื่อผลปรากฏว่ามัการตัดมูลค่าถังก๊าซออกจากบัญชีถึง 1,000 ล้านบาท ทำไมตลาดหลักทรัพย์จึงไม่ดำเนินการใด ๆ กับปิกนิกในข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เงินประมาณ 3,000 ล้านบาทไหลออกจากปิคนิคไปยังบริษัทผู้ผลิตถังกําซทั้งสองแห่งในรูปค่าซื้อถังก๊าซ แต่กลับไม่มีถังก๊าซให้ตรวจสอบหรือไม่มีการส่งมอบ แล้วเงิน 3,000 ล้านนั้นอัตรธานไปอยู่ที่กระเป๋าใึคร

จำได้ว่า กษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ เคยพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับ ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ เป็นเพราะได้เห็นกับตาได้ยินกับหูในวันที่เป็นทูตอยู่ประเทศหนึ่งแล้วมีหน้าที่ต้อนรับผู้นำประเทศ โดยระหว่างนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากคนเป็นนายกรัฐมนตรีโทรศัพท์สั่งซื้อหุ้นในช่วงที่กำลังจะเดินทางไปพบผู้นำประเทศนั้น ในขณะที่บอกกับคนไทยว่าเลิกยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจทุกอย่างแล้ว

ใช้ความเป็นผู้นำประเทศ พ่วงผลประโยชน์ทางธุรกิจ
กษิต แฉ โทรสั่งซื้อหุ้นข้ามประเทศ ผลประโยชน์ทับซ้อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น